เลือกดาวน์โหลด... ซ้ายมือสำหรับทำรูปแบบหนังสือ ขวามือสำหรับรูปแบบมือถือหรือแผ่นใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ
Choose a download... left for booklet, right for digital or other use.
ภาษาไทย
ปัสกา
A guide to Christian Passover
A guide to Christian Passover
Index:
A. ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของอีสเตอร์/ปัสกา ..................................................................1
B. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับปัสกา ..............................................................................................8
C. การบันทึกความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู 4 ครั้ง: .................16
D. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู .........43
E. การเตรียมอาหารปัสกา ...................................................................................................47
F. วิธีฉลองปัสกาคริสเตียน ..................................................................................................48
A. ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของอีสเตอร์/ปัสกา
ตกลงเทศกาลนี้เรียกว่าอะไร? อีสเตอร์หรือปัสกา? ภาษาส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเทศกาลนี้ว่าเป็นปัสกา เพราะว่าคริสเตียนสมัยยุคแรกยังฉลอง ปัสกา พร้อมกับเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลเพ็นเทคอสต์ เทศกาลพลับพลา ซึ่งพันธะสัญญาใหม่ได้บันทึกไว้ว่าคริสเตียนยังฉลองอยู่ในสมัยยุคแรก คริสตจักรสมัยยุคแรกกระจัดกระจายค่อนข้างเร็วมากในเวลาที่คริสเตียนยังมีประเพณีของยิวอยู่ หลักฐานก็อยู่ที่ภาษาต่างๆของโลก ขอให้เราดูคำเรียกสำหรับ เทศกาล อีสเตอร์ ในแต่ละภาษา:
ภาษาแอฟริกัน "พาส-ฟีส" (น่าจะมาจาก คำว่า feast ที่แปลว่าเทศกาล)
ภาษาแอลเบเนีย "พาชเค"
ภาษาอาเซอร์ไบจาน "พาสคสา"
ภาษาบาสก์ "พาสโค"
ภาษาคาตาลัน "พาสคัว"
ภาษาคอร์ซิกา "พาสคัว"
ภาษาเดนมาร์ก "พาสเค"
ภาษาดัตช์ "เพเสน"
ภาษาฟินแลนด์ "เพเสียนเน"
ภาษาฝรั่งเศส "พาเคส"
ภาษาฟริเซียน "พิสเค"
ภาษากาลิเซีย "พาสคัว"
ภาษาเยอรมัน "ออสเทิร์น" (ต้นกำเนิดของอีสเตอร์)
ภาษากรีก "พัสชา"
ภาษาไอซ์แลนด์ "พัสคา"
ภาษาอิตาลี "พาสคัว"
ภาษากินยาร์วันดา "พัสิคา"
ภาษานอร์เวย์ "พาสเค"
ภาษาโปรตุเกส "พาสโควา"
ภาษาโรมาเนีย "พาสที"
ภาษารัสเซีย "พาสคหา"
ภาษาสเปน "พาสคัว ดี เรสเสอร์เรคชีอน" (ปัสกาแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย)
ภาษาสวาฮีลี "พัสคา"
ภาษาสวีเดน "พาสค์"
ภาษาไทย "อีสเตอร์" (อิทธิพลเยอรมัน)
ภาษาตุรกี "พัสคาลยา"
ภาษาเติร์กเมนิสถาน "พัชา"
ภาษาอุซเบก "พัสคสา"
ภาษาเวลส์ "พัสก์"
ภาษาโซซา "ไอพัสคา"
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ: คำว่าวันเสาร์ในหลายภาษาเป็นคำเดียวกับวันสะบาโต:
ภาษาบอสเนีย: สะบาทา
ภาษาเซบัวโน: สะบาโด
ภาษาคอร์ซิกา: สะบาทู
ภาษาโครเอเชีย: สะบาทา
ภาษาเช็ก: สะบาทา
ภาษาอังกฤษ: แสทเดิอเด (ของเทพเจ้าแสทเดิอเด เป็นอิทธิพลของโรม)
ภาษาฟิลิปปินส์: สะบาโด
ภาษาฝรั่งเศส: สะมาดี
ภาษากาลิเซีย: สะบาโด
ภาษากรีก: สะฟาโท
ภาษาอินโดนีเซีย: สับทู
ภาษาอิตาลี: สะบาโท
ภาษาไอริช: ดีสาเสร
ภาษามาเลย์: สับทู
ภาษาโปแลนด์: โสะโบทา
ภาษาโปรตุเกส: สะบาโด
ภาษาโรมาเนีย: สัมบาทา
ภาษารัสเซีย: สะโบทา
ภาษาสกอตเกลิค: ดีสาเสร
ภาษาเซอร์เบีย: สะโบทา
ภาษาสโลวาเกีย: สะโบทา
ภาษาสโลวีเนีย: สะโบทา
ภาษาสเปน: สะบาโด
ภาษาซุนดา: สัพทู
ภาษายูเครน: สะโบทา
ภาษาเวลส์: ดีสสาเดิน
วันที่ของปัสกาคริสเตียน:
ในศตวรรษที่ 3 ผู้นำคริสเตียนได้ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการกำหนดวันที่ต่างกันสำหรับวันอีสเตอร์ (สมัยนั้นก็ยังเรียกว่า ปัสกา) พวกเขาต้องการใช้ปฏิทินของตนเองจะได้ไม่ต้องพึ่งพาปฏิทินของชาวยิว (ปฏิทินฮีบรู) แต่ในขณะเดียวกันต้องการที่จะให้ใกล้ช่วงปัสกาเดิมเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างระบบที่ซับซ้อนในการกำหนดวันอีสเตอร์ปีต่อปี วันอีสเตอร์ของคาทอลิกและวันที่ของออร์โธดอกซ์แตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากวันที่ของคาทอลิกอิงตามปฏิทินเกรกอเรียน และวันที่ของออร์โธดอกซ์อิงตามปฏิทินจูเลียน อย่างไรก็ตาม คริสเตียนยุคแรกจะใช้ปฏิทินฮีบรู ดังนั้นนั่นคือสิ่งที่ผมแนะนำให้เราทำ (พูดตรงๆ วันในสัปดาห์ เดือนของปี และแม้แต่เทศกาลเช่นอีสเตอร์ ได้รับการตั้งชื่อตามเทศกาลรูปเคารพสมัยอดีต น่าเสียดายจริงๆ)
ตัวอย่างวัฒนธรรมรูปเคารพในชื่อภาษาอังกฤษสำหรับวันเดือนและเทศกาลต่างๆ แน่นอนภาษาไทยก็คล้ายเช่นเดียวกัน เห็นผลที่ผมอธิบายเรื่องเหล่านี้ก็เพราะว่าบางครั้งเราคิดว่า ถ้ามาจากภาษาอังกฤษมันต้องดีเพราะว่าเป็นคริสเตียน แต่ในสมัยโบราณคนอังกฤษไม่ใช่คริสเตียนนะครับ แต่เป็นคนไหว้รูปเคารพคล้ายๆคนไทยพุทธในปัจจุบันนะครับ ถ้าเราไปตั้งชื่อตามภาษาอังกฤษทุกอย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนะครับ
Easter (อีสเตอร์) : "อูสทาน" ซึ่งเป็นเทพเจ้าเยอรมันของฤดูใบไม้ผลิ (หลายครั้งคำนี้ก็จะใช้ในช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิ แต่ไม่ได้พูดถึงรูปเคารพในสมัยปัจจุบัน)
Halloween: (วันฮาโลวีน) : "สามเหน" คือเป็นวันของคนตายแล้ว
Sunday: วันไหว้ดวงอาทิตย์
Monday: วันไหว้ดวงจันทร์
Tuesday: วันของทิว หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์สของการต่อสู้
Wednesday: วันของโวเดน หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์ส โอเดน
Thursday: วันสอร์ หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์สแห่งพายุ คือ "Thor"
Friday: วันเฟรยา หรือวันแห่งเทพีนอร์สเฟรยา
Saturday: วันแซทเทิร์น: วันแห่งเทพเจ้าโรมันแซทเทิร์น
January ตั้งชื่อตามเจนัส เทพเจ้าโรมันแห่งการเริ่มต้น
Febuary ตั้งชื่อตาม เฟบรัว พิธีกรรมชำระของชาวโรมัน
March ตั้งชื่อตาม มารส์ เทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน
April ตั้งชื่อตาม อาพรีลีส ซึ่งแปลว่าเปิด เหมือนดอกไม้บาน
May ตั้งชื่อตาม เมยา เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ของกรีก
June ตั้งชื่อตามจูโน เทพีแห่งการแต่งงานของโรมัน
July ตั้งชื่อตามจูเลียส ซีซาร์
August ตั้งชื่อตามจักรพรรดิออกุสตุส
September มาจากคำว่า เสพท์ (หมายถึงเดือนที่ 7) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 7 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
October มาจากคำว่า อคท์ (หมายถึงเดือนที่ 8) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 8 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
November มาจากคำว่า นอฟ์ (หมายถึงเดือนที่ 9) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 9 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
December มาจากคำว่า เดค์ (หมายถึงเดือนที่ 10) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 10 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
ชื่อเหล่านี้อาจจะไม่ได้มาจากการไหว้รูปเคารพทั้งหมด แต่หลายชื่อก็ใช่ พวกเราควรจะทราบถึงความจริงนี้เวลาเข้าถึงเรื่องเช่นนี้ อาจจะไม่ได้ผิดที่จะใช้คำเหล่านี้ แต่ถ้าเราใช้คำที่ดีกว่าได้ ก็จะดี
พวกเราควรจะฉลองเทศกาลอีสเตอร์อย่างไร คริสเตียนสมัยยุคแรกรวมถึงคริสเตียนชาวกรีก ได้ฉลองเทศกาลนี้เป็นเทศกาลของยิวเรียกว่าปัสกา ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ และหลังจากปัสกา เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ระยะเวลา 1 สัปดาห์ แต่สำหรับคริสเตียนมีความหมายเพิ่มเติมที่ได้มาพร้อมกับพันธะสัญญาใหม่ ว่าเป็นสัปดาห์ที่พระเยซูได้ตายและฟื้นขึ้นจากความตาย จริงๆผมอยากแนะนำให้คริสเตียนทุกๆที่ฉลองปัสกาและขนมปังไร้เชื้อตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ด้วยเพิ่มการระลึกถึงความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู อาจารย์เปาโลได้เขียนถึงสัปดาห์นี้ ด้วยการอ้างถึงขนมปังไร้เชื้อ แม้แต่เขากำลังพูดกับชาวกรีกที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ควรจะปฏิบัติตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระเยซูนั่งกับสาวกและฉลองปัสกา พระเยซูได้สอนความหมายของเทศกาลนี้ ก็เลยเป็นความคิดเห็นของผมว่าพวกเราไม่ควรจะลังเลในการฉลองเหมือนกัน
B. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับปัสกา -"จงถือคำสั่งนี้ให้เป็นกฎถาวรของพวกท่านและของลูกหลานพวกท่าน"
แล้วโมเสสเรียกพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลมาพร้อมกัน สั่งว่า “จงไปเอาลูกแกะสำหรับครอบครัวของพวกท่านมาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา และเอาต้นหุสบ กำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง ห้ามผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า เพราะพระยาห์เวห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง พระยาห์เวห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น และจะไม่ทรงให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านพวกท่านเพื่อจะประหารท่าน ท่านทั้งหลายจงถือคำสั่งนี้ให้เป็นกฎถาวรของพวกท่านและของลูกหลานพวกท่าน เมื่อพวกท่านไปถึงแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์จะประทานแก่พวกท่านตามที่ตรัสไว้แล้ว พวกท่านจงถือพิธีนี้ไว้ เมื่อลูกหลานของพวกท่านถามว่า ‘พิธีนี้หมายความว่าอะไร?’ พวกท่านจงตอบว่า ‘เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์ แต่โปรดไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’ ” ประชากรก็กราบลงนมัสการ แล้วชนชาติอิสราเอลก็ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสสและอาโรน -อพยพ 12:21-28
“ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศกำหนดเวลาให้เขารับรู้ ในเวลาเย็นวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่งเป็นวันเทศกาลปัสกา ของพระยาห์เวห์ และในวันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้พวกเจ้ารับประทานขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน ในวันแรกจงมีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำ แต่เจ้าจงถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ให้ครบเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดเป็นวันประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำใดๆ”
เลวีนิติ 23:4-8
ไม่ใช่ชาวยิวเท่านั้นแต่คนต่างชาติด้วย (คือพวกเราที่เป็นคริสเตียนส่วนมาก)
ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลายจะถือเทศกาลปัสกาแด่พระยาห์เวห์ ก็ให้เขาถือตามกฎเกณฑ์และกฎหมายของเทศกาลปัสกา เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและคนพื้นเมือง” -กันดารวิถี 9:14
...ยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป" -ยอห์น 1:29
พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ให้กับพวกท่าน เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่าท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน’ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์” คำเหล่านี้พระองค์ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม -ยอห์น 6:32-59
การที่พวกท่านโอ้อวดนั้นไม่ใช่สิ่งดีเลย ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน? จงชำระเชื้อ เก่าเสีย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังเช่นที่ท่านเป็นพวกไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเรา ถูกถวายบูชาแล้ว เพราะฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าซึ่งเป็นเชื้อของความชั่วและความเลว แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ คือความจริงใจและสัจจะ -1 โครินธ์ 5:6-8
ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้ เราจะยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ? เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ? -1 โครินธ์ 10:21-22
เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมพร้อมกันนั้น จึงไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าในการกินอาหารนั้น แต่ละคนต่างกินอาหารของตนก่อน บ้างก็ยังหิวอยู่ และบ้างก็เมา อะไรกันนี่ พวกท่านไม่มีบ้านที่จะกินและดื่มหรือ? หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และสร้างความอับอายให้กับคนที่ขัดสน จะให้ข้าพเจ้าพูดอย่างไร? จะให้ชมพวกท่านหรือ? ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่านในเรื่องนี้เลย เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก ฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น จงรอกันและกัน ถ้ามีใครหิว ก็ให้กินที่บ้านก่อน เพื่อว่าเมื่อมาชุมนุมกัน พวกท่านจะไม่ถูกลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ข้าพเจ้าจะสั่งสอนเมื่อข้าพเจ้ามา -1 โครินธ์ 11:20-34
(วันฉลองปัสกา ก็จะเปลี่ยนทุกปีเพราะจะขึ้นอยู่กับปฏิทินฮีบรู)
C. การบันทึกความตายและการฟื้นขึ้นของพระเยซู 4 ครั้ง:
บันทึกของมัทธิว:
พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในกองบัญชาการปรีโทเรียม และรวมทหารทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียร ของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์” ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และนี่แน่ะ ม่าน ในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี เมื่อถึงเวลาพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา โยเซฟก็เชิญพระศพลงและเอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนที่สกัดไว้ในศิลา และกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์ วันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันเตรียม พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต เรียนว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’ เพราะฉะนั้น ขอท่านมีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” ปีลาตจึงบอกพวกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่จะทำได้” พวกเขาจึงไปจัดการทำให้อุโมงค์แน่นหนาและประทับตราไว้ที่หิน แล้ววางยามประจำอยู่
ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์ ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์และกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งอยู่บนหินนั้น รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว” หญิงเหล่านั้นก็รีบไปจากอุโมงค์ ด้วยความกลัวและความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และวิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น” ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไป นี่แน่ะ มียามบางคนเข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นให้พวกหัวหน้าปุโรหิตฟัง เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินก้อนใหญ่ให้กับพวกทหาร และสั่งว่า “พวกเจ้าต้องพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักขโมยเอาศพไปตอนกลางคืน ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่’ ถ้าเรื่องนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ตัวให้พวกเจ้าพ้นโทษ” เมื่อทหารรับเงินแล้วก็ทำตามคำแนะนำ แล้วเรื่องนี้ก็ลือกันในหมู่พวกยิวจนถึงทุกวันนี้ แต่สาวกสิบเอ็ดคนก็ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้ และเมื่อเห็นพระองค์เขาทั้งหลายจึงกราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” -มัทธิว 27:27-28:20
การบันทึกของมาระโก:
พวกทหารจึงนำพระองค์เข้าไปยังลานของราชสำนัก (คือกองบัญชาการปรีโทเรียม) แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองมาประชุมกัน พวกเขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎมาสวมพระเศียรพระองค์ แล้วคำนับพระองค์กล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วพวกเขาเอาไม้อ้อตีพระเศียรของพระองค์ ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อสีม่วงนั้นออก แล้วเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน มีคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส เดินทางจากบ้านนอกมาตามเส้นทางนั้น พวกเขาจึงเกณฑ์ซีโมนให้แบกกางเขนของพระองค์ พวกเขาพาพระองค์มาถึงที่แห่งหนึ่งชื่อกลโกธา (แปลว่ากะโหลกศีรษะ) แล้วพวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับมดยอบให้พระองค์เสวย แต่พระองค์ไม่ทรงรับ แล้วพวกเขาก็ตรึงพระองค์ที่กางเขน และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์ มาจับฉลากแบ่งกัน เพื่อจะรู้ว่าใครได้อะไร ขณะที่พวกเขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาสามโมงเช้า มีคำจารึกข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไว้ว่า “กษัตริย์ของพวกยิว” และพวกเขาเอาโจรสองคนมาตรึงพร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า “เฮ้ย เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอดเถอะ แล้วก็ลงจากกางเขนเสียทีสิ” ท่ามกลางพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ก็มีการเยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ขอเชิญพระคริสต์กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะ พวกเราจะได้เห็นและเชื่อ” และสองคนนั้นที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็กล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์ เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูก็ทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์” มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งถวายให้พระองค์เสวย แล้วกล่าวว่า “คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงหรือเปล่า?” แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ ม่าน ในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์ เมื่อได้ยินพระองค์ร้องเสียงดัง และเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร จึงกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงเหล่านั้น มีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นพวกที่ติดตามและปรนนิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี และยังมีผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ และเพราะเหตุว่าวันนั้นเป็นวันเตรียมคือวันก่อนวันสะบาโต โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นคนที่กำลังคอยแผ่นดินของพระเจ้า ไปหาปีลาตด้วยความกล้าหาญเพื่อขอพระศพของพระเยซู ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว จึงเรียกนายร้อยมาถามว่า ตายแล้วหรือ เมื่อรู้เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบพระศพให้แก่โยเซฟ แล้วโยเซฟก็ไปซื้อผ้าป่าน และอัญเชิญพระศพลงมา เอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วอัญเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดจากศิลา แล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้ มารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสสได้เห็นสถานที่ที่พระศพถูกบรรจุไว้
เมื่อวันสะบาโตผ่านพ้นไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบพร้อมกับนางสะโลเม ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระองค์ เวลารุ่งเช้าวันอาทิตย์ พอดวงอาทิตย์ขึ้น พวกนางก็มาที่อุโมงค์ และกำลังพูดกันอยู่ว่า “ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์” เพราะเป็นหินก้อนใหญ่ แต่เมื่อพวกนางมองดูก็เห็นหินก้อนนั้นกลิ้งออกไปแล้ว เมื่อพวกนางเข้าไปในอุโมงค์ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวนั่งอยู่ทางขวามือ พวกนางก็ตกตะลึง ชายหนุ่มคนนั้นบอกพวกนางว่า “อย่ามัวตะลึงอยู่เลย พวกท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนซินะ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่วางพระศพของพระองค์เถิด พวกท่านจงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านไว้แล้ว” หญิงเหล่านั้นจึงออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไป เพราะพิศวงงงงวยและตกใจจนตัวสั่น พวกนางไม่ได้พูดกับใครเพราะกลัว [ หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในวันเวลารุ่งเช้าวันอาทิตย์ พระองค์ทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ทรงขับผีออกเจ็ดตน มารีย์จึงไปบอกบรรดาคนที่เคยอยู่กับพระองค์มาก่อน ขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้ว พวกเขายังไม่เชื่อ ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พระองค์ปรากฏพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคน ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางออกไปนอกเมือง สาวกสองคนนั้นจึงกลับมาบอกสาวกคนอื่นๆ แต่พวกเขาไม่เชื่อ หลังจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏกับสาวกสิบเอ็ดคน ขณะพวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาในเรื่องความสงสัยและใจดื้อดึง เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อคนที่ได้เห็นพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขากินยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา และพวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” หลังจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งพวกเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกสาวกจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งหน และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับพวกเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของพวกเขา ด้วยการให้มีหมายสำคัญประกอบคำสอน] -มาระโก 15:16-16:20
การบันทึกของลูกา:
เมื่อกำลังพาพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ซีโมนชาวไซรีนที่มาจากบ้านนอก แล้วเอากางเขนวางบนตัวเขา ให้แบกตามพระเยซูไป มีคนจำนวนมากตามพระองค์ไปด้วย ทั้งพวกผู้หญิงที่กำลังทุกข์โศกและคร่ำครวญเพราะพระองค์ พระเยซูทรงหันมาทางพวกเขาตรัสว่า “ธิดาทั้งหลายแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด เพราะว่าจะมีเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า ‘พวกผู้หญิงที่เป็นหมัน และครรภ์ที่ไม่ได้ปฏิสนธิ และเต้านมที่ไม่เคยเลี้ยงลูก ก็เป็นสุข’ ในเวลานั้นเขาจะเริ่ม พูดกับภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงพังลงมาทับเรา’ และพูดกับเนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’ เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้ยังสดอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้ว?” มีอีกสองคนที่เป็นผู้ร้าย ซึ่งเขาพาไปประหารชีวิตพร้อมกับพระองค์ เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั่นบนกางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” แล้วพวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน ประชาชนก็ยืนมองดูอยู่ พวกผู้นำก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้” พวกทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย และเข้ามาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด” เหนือพระองค์มีคำจารึกไว้ด้วยว่า “คนนี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว” ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย” แล้วคนนั้นจึงทูลว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่าน ในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์ เมื่อนายร้อยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” ฝูงชนทั้งหมดที่มาชุมนุมกันเพื่อจะดูเหตุการณ์นั้น เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกชกตัวกลับไป ทุกคนที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งตามพระองค์มาจากกาลิลี ก็ยืนอยู่แต่ไกลมองเห็นสิ่งเหล่านี้ มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ท่านเป็นสมาชิกสภา เป็นคนดีและชอบธรรม ท่านไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภานั้น ท่านเป็นชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นเมืองของพวกยิว และเป็นคนที่คอยแผ่นดินของพระเจ้า ชายคนนี้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพของพระเยซู เมื่อเขาเอาพระศพลงแล้ว จึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วนำพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งเจาะไว้ในศิลา อุโมงค์นั้นยังไม่เคยวางศพของใครเลย วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และใกล้จะถึงวันสะบาโตแล้ว พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ
ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ พวกนางพบว่าก้อนหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะกำลังฉงนสนเท่ห์เพราะเหตุการณ์นั้น นี่แน่ะ มีชายสองคนยืนอยู่ใกล้พวกนาง เครื่องนุ่งห่มแพรวพราวจนพร่าตา ผู้หญิงเหล่านั้นก็หวาดกลัวและซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับพวกนางว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม? [พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว] จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’ ” พวกนางจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ เมื่อกลับจากอุโมงค์แล้ว พวกนางก็เล่าเหตุการณ์นี้ทั้งหมดแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ด้วย คนที่เล่าเหตุการณ์เหล่านั้นแก่พวกอัครทูตคือ มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่กับพวกนาง แต่พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล [แต่เปโตรลุกขึ้น วิ่งไปที่อุโมงค์ เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านเท่านั้น จึงกลับไปด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น] ในวันนั้นเองมีสาวกสองคนเดินทางไปหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนาซักถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินด้วยกัน แต่ตาของเขาทั้งสองถูกปิดกั้นทำให้จำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “ระหว่างทางที่เดินมานี่ท่านโต้ตอบกันเรื่องอะไร?” เขาก็หยุดยืน หน้าตาโศกเศร้า คนที่ชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นแขกเมืองในกรุงเยรูซาเล็มเพียงคนเดียวหรือที่ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้?” พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “เหตุการณ์อะไร?” เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เหตุการณ์เรื่องเยซูชาวนาซาเร็ธผู้เผยพระวจนะที่มีฤทธิ์เดชในกิจการและถ้อยคำต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชน พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกผู้นำของเรามอบตัวท่านไว้ให้ถูกลงโทษถึงตาย และตรึงท่านที่กางเขน แต่เรามีความหวังว่าท่านจะเป็นผู้นั้นที่มาไถ่ชนชาติอิสราเอล ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มีผู้หญิงบางคนในพวกเราที่ทำให้เราประหลาดใจ พวกนางไปที่อุโมงค์เมื่อเวลาเช้ามืด แต่ไม่พบศพของท่าน จึงมาเล่าว่าเห็นนิมิตเป็นทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์นั้นบอกว่าท่านผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนในเราจึงไปที่อุโมงค์ และพบเหมือนที่ผู้หญิงเหล่านั้นบอก แต่เขาไม่เห็นท่านเยซู” พระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด เมื่อมาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์ทรงทำทีว่าจะเสด็จเลยไป เขาทั้งสองจึงคะยั้นคะยอพระองค์ว่า “เชิญท่านมาพักด้วยกันเถิด เพราะจวนจะค่ำและใกล้จะหมดวันอยู่แล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักอยู่กับเขา เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งสองก็ลุกขึ้นในเวลานั้น แล้วกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และพบว่าพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมกับพรรคพวก กำลังพูดกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ และทรงปรากฏแก่ซีโมน” สองคนนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทาง และเรื่องที่เขารู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระองค์เสด็จมาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม? เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ? จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อ การยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านเองก็เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ นี่แน่ะ เราจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญานั้น ลงมาเหนือท่าน แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะสวมด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน ” พระองค์จึงพาพวกเขาออกไปจนถึงหมู่บ้านเบธานี และยกพระหัตถ์ทั้งสองอวยพรเขา ขณะที่ทรงอวยพรอยู่นั้น พระองค์เสด็จจากพวกเขาไป [และพระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์] พวกเขาจึง [นมัสการพระองค์แล้ว] กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดีอย่างยิ่ง และอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า -ลูกา 23:26- 24:53
การบันทึกของยอห์น:
แล้วปีลาตก็มอบพระองค์ให้เขาไปตรึงที่กางเขน พวกทหารจึงพาพระเยซูไป และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ที่เรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา ที่นั่นพวกเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนพร้อมกับชายอีกสองคนคนละข้าง โดยมีพระเยซูทรงอยู่กลาง ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว” พวกยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก พวกหัวหน้าปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่เขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า “เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว” ’ ” ปีลาตตอบว่า “อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป” เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาเสื้อของพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่เสื้อใน เสื้อในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปรึกษากันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ” ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งกัน และเสื้อของข้าพระองค์เขาจับฉลากกัน” พวกทหารทำกันอย่างนี้ คนที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้นมีมารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัสและมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน” แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ พระองค์จึงตรัสว่า “เรากระหายน้ำ” ที่นั่นมีภาชนะใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบ ชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไป เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่) ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิ ของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว” และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง” หลังจากนั้น โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซูเนื่องจากกลัวพวกยิว ก็มาขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพของพระองค์ไป นิโคเดมัสคนที่ตอนแรกเคยไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้น ก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย เขาทั้งสองอัญเชิญพระศพพระเยซูมา แล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว ในบริเวณที่พระองค์ถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
วันอาทิตย์ เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์) พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัย บาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ” โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
ต่อมาพระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้ คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าดิดุโมส นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคน กำลังอยู่ด้วยกัน ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย เมื่อถึงรุ่งเช้า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ?” เขาตอบว่า “ยัง” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก บอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมาและลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง” ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?” เขาทูลพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป” (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด) เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา (สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงใกล้พระองค์ขณะรับประทานอาหารและทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะทรยศพระองค์เป็นใคร?”) เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด” เพราะฉะนั้นคำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูไม่ได้ตรัสกับเขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน?” สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น -ยอห์น 19:16- 21:25
D. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู
พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?”
ยอห์น 11:25-26
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย -ยอห์น 14:1-3
ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะว่า “พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจภายใต้พระบาทของพระบุตร ” แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจนั้น ก็รู้ชัดกันอยู่แล้วว่า ยกเว้นพระเจ้าผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์
1 โครินธ์ 15:26-27
และเช่นเดียวกับที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน เราก็จะมีลักษณะของมนุษย์สวรรค์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?” เหล็กในของความตายนั้นคือบาป และอำนาจของบาปคือธรรมบัญญัติ สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา -1 โครินธ์ 15:49-57
ข้าพเจ้าคาดหมายและหวังว่าจะไม่ได้รับความละอายใดๆ เลย แต่โดยความกล้าหาญอย่างยิ่ง พระคริสต์จะทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญในร่างกายของข้าพเจ้าในเวลานี้ดังเช่นที่เคยได้ตลอดมา ไม่ว่าจะโดยชีวิตหรือความตาย เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร -ฟีลิปปี 1:20-21
แต่เราเป็นพลเมืองแห่งสวรรค์ และเรารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงร่างกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี ตามพลังอำนาจที่ทำให้พระองค์สามารถให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ -ฟีลิปปี 3:20-21
เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ
2 ทิโมธี 1:8-10
บุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อเช่นกันอย่างไร พระองค์ก็ทรงมีส่วนเช่นนั้นด้วยอย่างนั้น เพื่อโดยทางความตายนั้น พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจ แห่งความตาย และจะทรงปลดปล่อยบรรดาคนเหล่านั้นที่ตกเป็นทาสมาตลอดชีวิตเนื่องจากความกลัวตาย -ฮีบรู 2:14-15
พระองค์จะทรงกลืนความตายเสียเป็นนิตย์ แล้วพระยาห์เวห์ องค์เจ้านายจะทรงเช็ดน้ำตาจากทุกใบหน้า และจะทรงเอาการลบหลู่แห่งชนชาติของพระองค์ไปจากทั้งแผ่นดินโลก เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว -อิสยาห์ 25:8
ในที่นั้นจะไม่มี ทารกซึ่งมีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนแก่ที่มีอายุไม่ครบกำหนด เพราะคนตายเมื่ออายุร้อยปีจะถือว่าอ่อนวัย ส่วนคนอายุน้อยกว่าร้อยปีจะถือว่าถูกแช่งสาป -อิสยาห์ 65:20
E. การเตรียมอาหารปัสกา:
ขนมปังไร้เชื้อ: จะต้องมีขนมปังไร้เชื้อ 2 ชิ้นต่อคน บวกอีก 3 ชิ้น
เหล้าองุ่นหรือนำองุ่น 4 แก้วต่อคน
5 อย่างที่ต้องวางบนจานปัสกา:
1. กระดูกขาแกะย่าง
2. ไข่ย่าง
3. ขึ้นฉ่ายหรือผักชีฝรั่ง
4. ชาโรเสท: น้ำองุ่นหรือไวน์ผสมกับถั่วผสมแอปเปิ้ลหั่นเต๋าและปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เช่น อบเชย
5. สมุนไพรที่มีรสขม: ฮอสแรดิช มะรุม หรือวาซาบิ
อาหารหลัก: เนื้อส่วนหน้าอก (beef brisket) ซุปมัทซาห์บอล (Matza-ball soup) ไก่ย่าง (อาหารทุกอย่างจะสะอาดตามพระคัมภีร์บอก ไม่กินหมูหรือเลือดหรือสัตว์ชนิดอื่นที่เป็นอาหารมลทิน)
F. วิธีฉลองปัสกาคริสเตียน
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วแรก
ผู้นำอธิษฐาน:
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้เรารอดจากการเป็นทาส ทั้งผ่านการอพยพจากการเป็นทาสในอียิปต์ และจากการเป็นทาสของบาป โดยทางพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ของเรา คือพระเยซูคริสต์
อธิบายสั้นๆ 5 อย่างที่ต้องวางบนจานปัสกา:
1. กระดูกขาแกะย่าง - หมายถึงลูกแกะของพระเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ไถ่บาปให้แก่เราแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเนื้อ
2. ไข่ย่าง - หมายถึง haggigah หรือเครื่องบูชาในเทศกาลซึ่งแตกต่างจากเครื่องบูชาปัสกา ไข่ หมายถึงชีวิตใหม่ เมื่อพระคริสต์สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา เราได้รับชีวิตใหม่ และในทางกลับกัน เราสละชีวิตของเราลงเพื่อพระองค์ เป็นเครื่องบูชาอีกประเภทหนึ่ง
3. ขึ้นฉ่ายหรือผักชีฝรั่ง- นี่แสดงถึงการทรยศต่อโยเซฟโดยพี่น้องของเขา ความขมขื่นของการเป็นทาส แต่เรามีความหวังว่าแม้ในโลกที่เสื่อมทรามนี้ พระเจ้าจะทรงสถิตกับเรา
4. Charoset: ชาโรเสท: น้ำองุ่นหรือไวน์ผสมกับถั่วผสมแอปเปิ้ลหั่นเต๋าและปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เช่นอบเชย - หมายถึงปูนที่ชาวอิสเรียลทำขึ้นเพื่อสร้างเมืองในอียิปต์
5. สมุนไพรที่มีรสขม: ฮอสแรดิช มะรุม หรือวาซาบิ - หมายความว่าความขมขื่นของการเป็นทาสในอียิปต์ และมากไปกว่านั้นต่อโลก บาป และความตาย
ทุกคนอ่านคำอธิษฐาน "หากาเฟน" พร้อมกัน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הַגָּפֶן
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หากาเฟน
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาล ผู้ทรงสร้างผลของเถาองุ่น
ผู้นำทำ:
ส่งอ่างล้างมือไปรอบๆ
ทุกคนทำด้วยกัน:
ผู้เข้าร่วมแต่ละคนควรล้างมือและเช็ดมือให้แห้ง
ผู้นำพูด:
นี่หมายความว่าเราต้องเข้าหาพระเจ้าด้วยใจที่สะอาดและบริสุทธิ
ผู้นำทำ:
จุ่มผักชีฝรั่งลงในน้ำเกลือ
ผู้นำพูด:
สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงน้ำตาของเราในการเป็นทาส
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הָאֲדָמָה:
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หาดามา
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาลผู้ทรงสร้างผลของโลก
ทุกคนทำด้วยกัน:
กินผักด้วยกัน
ผู้นำทำ:
ผู้นำเอาขนมปังไร้เชื้อชิ้นกลางออกจาก 3 ชิ้นที่วางไว้ ควรจะหักเป็น 2 ท่อน เอาผ้าผืนใหญ่ห่อไว้ แล้วซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในบ้านเพื่อให้ลูกหลานมาพบในภายหลัง
ผู้นำพูด:
สิ่งนี้เตือนเราว่าพระเยซูถูกหัก ถูกห่อหุ้ม และฝังไว้
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนก็ยกแผ่นขนมปังมัทซาห์หนึ่งชิ้น
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה, יְיָ אֱלֹהֵינוּ, מֶלֶךְ הָעוֹלָם הַמּוֹצִיא לֶחֶם מִן הָאָרֶץ.
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี หา โมท สี เลคเอม มิน หา อา เรทส์
สาธุการแด่พระองค์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา กษัตริย์ผู้ทรงบันดาลให้เกิดอาหารจากแผ่นดินโลก
ผู้นำพูด:
ขนมปังนั้นเหมือนกับขนมปังที่ชาวอิสราเอลกินเมื่อออกจากอียิปต์ การไม่มียีสต์แสดงถึงการไม่มีบาปในชีวิตของเราเนื่องจากการไถ่บาปนั้นผ่านทางพระเยซู
ทุกคนทำด้วยกัน:
วางขนมปังมัทซาห์
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วที่ 2
เด็กที่อายุน้อยที่สุดในบ้านที่สามารถอ่านได้ควรอ่านคำถาม:
คืนอื่นเราไม่จุ่มอาหาร ทำไมคืนนี้เราจุ่มอาหารสองครั้ง?
คืนอื่นเรากินขนมปังปกติ ทำไมเรากินเฉพาะขนมปังไร้เชื้อคืนนี้?
คืนอื่นเรากินผักอื่น ทำไมเรากินผักชีฝรั่งคืนนี้?
ในคืนอื่นๆ เรานั่งบนเก้าอี้ ทำไมคืนนี้เราเอนกาย?
ผู้นำตอบว่า:
คืนนี้แตกต่างออกไปเพราะคืนนี้เราระลึกถึงการที่พระเจ้าช่วยเราจากการเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์และการเป็นทาสของความบาปของเรา เราจุ่มอาหารของเราเพื่อเตือนให้เรานึกถึงน้ำตาที่มาจากการเป็นทาสของเรา การรับประทานมัทซาห์ทำให้เรานึกถึงชาวฮีบรูที่รีบออกจากอียิปต์และความบริสุทธิ์ของพระเยซู สมุนไพรที่ขมได้เตือนเราถึงความขมขื่นของการเป็นทาส - ทั้งในอียิปต์และถึงบาปของเรา เราเอกเขนกขณะที่เรานั่งเหมือนเป็นราชวงศ์เพราะเราได้กลายเป็นคนอิสระ
ผู้นำพูด:
ผู้นำเล่าเรื่องปัสกา ในช่วงที่ระลึกถึงโรคระบาด ผู้เข้าร่วมจุ่มนิ้วลงในไวน์และหยดไวน์ลงบนแผ่นขนมปังมัทซาห์ที่นึกถึงภัยพิบัติแต่ละชนิด (เลือด กบ เหา แมลงวัน ปศุสัตว์ ฝี ลูกเห็บ ตั๊กแตน ความมืด และการตายของบุตรหัวปี) ผู้นำควรเน้นเรื่องจริงของเทศกาลปัสกา (เลือดลูกแกะที่เสาประตูช่วยคนของพระเจ้า) และเลือดของพระเยซูอนุญาตให้เราอพยพออกจากการเป็นทาสของความบาป
ทุกคนทำด้วยกัน:
แต่ละคนควรถือแผ่นขนมปังมัทซาห์ชิ้นหนึ่ง
ผู้นำพูด:
เรากินมัทซาห์เพราะชาวอิสราเอลไม่มีเวลาให้ขนมปังของพวกเขาลุกขึ้น มัทซาห์ก็เหมือนกับพระเยซูเช่นกัน ผู้ซึ่งไม่ได้ “เจือเชื้อ” ด้วยบาปเพื่อที่เขาจะได้เป็นเครื่องบูชาเพื่อพวกเรา
ผู้นำทำและพูด:
ผู้นำควรยกสมุนไพรที่มีรสขมและบอกทุกคนว่าสิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงความขมขื่นของการเป็นทาส จากนั้นหัวหน้าก็วางสมุนไพร
จากนั้นผู้นำควรอธิบายว่า ชาโรเสท ทำให้เรานึกถึงปูนที่ทาสชาวอิสราเอลใช้สร้างอาคารอิฐสำหรับชาวอียิปต์
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนยกแก้วที่สองขึ้น
ผู้นำอธิษฐาน:
ผู้นำสรรเสริญพระเจ้าที่ช่วยเราให้รอดและสำหรับผลขององุ่น
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนควรดื่มและกินขนมปังมัทซาห์
ผู้นำอธิษฐาน:
สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงบัญชาให้เรากินสมุนไพรที่มีรสขม
ทุกคนทำด้วยกัน:
ใส่สมุนไพรที่มีรสขม บนขนมปังมัทซาห์และรับประทานอาหารด้วยกัน
ผู้นำอธิษฐาน:
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารและในครั้งนี้เพื่อระลึกถึงปัสกาและพระเยซูลูกแกะปัสกาของเรา
แม่ครัวเอาอาหารมาเสิร์ฟได้แล้ว:
อาหารพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
ผู้นำพูดหลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว:
ถึงเวลากินไวน์แก้วที่ 3 อาจจะรู้จักส่วนนี้จากพิธีมหาสนิทที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
ผู้นำพูด:
มัซซาห์ชิ้นกลางถูกซ่อนไว้ ถึงเวลาแล้วที่เด็กๆ จะต้องค้นหา
ทุกคนทำด้วยกัน:
ให้เด็กๆ ไปหาแผ่นมัซซาห์ นี่ผู้ปกครอง ค่อยๆดู และช่วยเวลาจำเป็น
ผู้นำทำ:
ผู้นำจะแบ่งมาตซาห์ที่หักแล้วออกเป็นชิ้นๆ และให้ผู้เชื่อแต่ละคนที่โต๊ะ
เทไวน์อีกแก้ว และทุกคนควรถือขนมปังมัทซาห์และไวน์
ผู้นำพูด:
เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา”
1 โครินธ์ 11:24
ทุกคนทำด้วยกัน:
จากนั้นทุกคนควรกิน ขนมปังมัทซาห์ของตนแล้วยกถ้วยไวน์ขึ้น
ผู้นำพูด:
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” 1 โครินธ์ 11:25 (มารโก 14:24 ด้วย)
ผู้เชื่อทุกคน:
ดื่มแก้วที่ 3 ด้วยกัน
ผู้นำพูด:
หลังจากนี้ พระเยซูตรัสว่าจะไม่ดื่มถ้วยที่สี่ ซึ่งอาจทำให้เหล่าสาวกประหลาดใจ
"เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา” -ลูกา 22:18
หลังจากนั้น ยอห์นบันทึกเหตุการณ์นี้ให้พวกเราได้อ่าน
เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ -ยอห์น 19:30
แก้วสุดท้ายที่พระเยซูดื่มคือแก้วแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่ควรจะตกอยู่กับเรา แล้วทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” -มัทธิว 26:39
พระองค์จึงเสด็จไปทรงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” -มัทธิว 26:42
แต่ท่านถูกแทง เพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาป ของเราทุกคนลงบนตัวท่าน ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น ท่านถูกนำตัวไปด้วยการบังคับและการตัดสิน และคนในยุคสมัยของท่านนั้น มีใครเล่าที่คิดว่า ที่ท่านถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็นนั้น ที่ท่านถูกตีนั้นเพราะการทรยศของชนชาติของข้าพเจ้า และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนอธรรม และเขาจัดท่านไว้ กับเศรษฐีในความตายของท่าน แม้ว่าท่านไม่ได้ทำการทารุณใดๆ และไม่มีการหลอกลวงใดๆ ในปากของท่าน แต่พระยาห์เวห์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่าน เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันเวลาของท่าน พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน ภายหลังความลำบากของตัวเขา เขาจะเห็น และจะพึงพอใจ โดยความรู้ของเขา ผู้รับใช้ชอบธรรมของเรา จะทำให้คนจำนวนมากเป็นคนชอบธรรม และเขาจะแบกความบาปผิดทั้งหลายของพวกเขา เพราะฉะนั้นเราจะแบ่งส่วนหนึ่งแก่เขาเช่นเดียวกับคนใหญ่โต และเขาจะแบ่งของริบกับพวกผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเขาเทตัวของเขา ลงถึงความมรณะ และถูกนับเข้ากับพวกคนทรยศ เขาเองแบกบาปของคนจำนวนมาก และเขาอ้อนวอนเพื่อพวกคนทรยศ -อิสยาห์ 53:5-12
ถึงเวลาร้องเพลงด้วยกัน:
เพลง ลูกแกะพระเจ้า Lamb of God (Twila Paris)
Intro: C G C G (x2)
C G7 C
1.บุตรเพียงองค์เดียวผู้ไม่มีบาป
G F Dm7 C
**ลูกแกะพระเจ้า ลูกแกะพระเจ้า
F Dm7 G7
พระองค์ประทานให้แก่โลกา
F Dm7 G
ลูกรักพระองค์ ลูกแกะพระเจ้า
F Am Em F
ดำเนินอยู่บนพื้นบาปความผิด
F Em7 Am7
ชำระลูกใน โลหิตประเสริฐ
Dm7 G7 C
เพื่อจะทรงเป็น ลูกแกะพระเจ้า
Dm7 G7 C
โอ พระเยซู ลูกแกะพระเจ้า
C G7 C
2.ของขวัญล้ำค่า พวกเขาตรึงไว้
C G7 C
3.ครั้งหนึ่งหลงหาย และลูกควรตาย
F Dm7 G7
หัวเราะเยาะเย้ย เมื่อพระองค์ตาย
F Dm7 G
แต่พระองค์ทรง นำลูกข้างกาย
F Am Em F
กษัตริย์ผู้ถ่อม พวกเขาหยามเหยียด
F Am Em F
คทาพระกรเล้าโลมนำทาง
Dm7 G7 C
และปลงพระชนม์ ลูกแกะพระเจ้า
Dm7 G7 C
และเรียกลูกว่า แกะของพระองค์
อาสาสมัครคนนึงอ่าน:
ถึงเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน:
สรรเสริญพระยาห์เวห์ บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เอ๋ย จงสรรเสริญเถิด จงสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์ ขอให้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นที่สรรเสริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่สรรเสริญ พระยาห์เวห์ประทับอยู่สูงเหนือประชาชาติทั้งสิ้น และพระสิริของพระองค์สูงเหนือฟ้าสวรรค์ ผู้ใดเป็นเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ผู้ประทับบนที่สูง ผู้โน้มพระองค์ลงทอดพระเนตร ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก? พระองค์ทรงยกคนจนขึ้นมาจากผงคลี และทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขี้เถ้า เพื่อให้เขานั่งกับบรรดาเจ้านาย กับบรรดาเจ้านายแห่งชนชาติของพระองค์ พระองค์โปรดให้หญิงหมันมีบ้านอยู่ เป็นแม่ที่ชื่นบานมีบุตร สรรเสริญพระยาห์เวห์
เมื่ออิสราเอลออกจากอียิปต์ คือวงศ์วานของยาโคบออกจากชนชาติต่างภาษา ยูดาห์กลายเป็นสถานนมัสการของพระองค์ อิสราเอลกลายเป็นราชอาณาจักรของพระองค์ ทะเล เห็นแล้วหนี แม่น้ำจอร์แดนหันหลังกลับ ภูเขากระโดดเหมือนแกะผู้ เนินเขากระโดดเหมือนลูกแกะ ทะเลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงหนี? แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงหันหลังกลับ? ภูเขาเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกระโดดเหมือนแกะผู้? เนินเขาเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกระโดดเหมือนลูกแกะ? แผ่นดินเอ๋ย จงตัวสั่น เฉพาะพระพักตร์องค์เจ้านายเถิด คือเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของยาโคบ ผู้ทรงเปลี่ยนหินให้เป็นสระน้ำ คือทรงเปลี่ยนหินเหล็กไฟ ให้เป็นน้ำพุ
พระเกียรตินี้มิใช่มีแก่เหล่าข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ มิใช่มีแก่เหล่าข้าพระองค์เลย แต่แด่พระนามของพระองค์ เนื่องจากความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ทำไมบรรดาประชาชาติจะกล่าวว่า “พระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่ไหนเล่า?” พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พอพระทัย พระองค์ก็ทรงกระทำ รูปเคารพของคนเหล่านั้นเป็นเงินและทองคำ เป็นผลงานของมือมนุษย์ รูปเหล่านั้นมีปาก แต่พูดไม่ได้ มีตา แต่ดูไม่ได้ มีหู แต่ฟังไม่ได้ มีจมูก แต่ดมไม่ได้ มีมือ แต่คลำไม่ได้ มีเท้า แต่เดินไม่ได้ รูปเหล่านั้นทำเสียงในคอไม่ได้ ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน อิสราเอลเอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย วงศ์วานอาโรนเอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย ท่านผู้ยำเกรงพระยาห์เวห์เอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย พระยาห์เวห์ทรงระลึกถึงเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงอวยพร จะทรงอวยพรวงศ์วานอิสราเอล จะทรงอวยพรวงศ์วานอาโรน พระองค์จะทรงอวยพรบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พวกท่านเพิ่มพูนขึ้น ทั้งท่านและลูกหลานของท่าน ขอให้พวกท่านรับพระพรจากพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ฟ้าสวรรค์สูงสุดเป็นของพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ประทานแผ่นดินโลกแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนตายไม่สรรเสริญพระยาห์เวห์ และทุกคนที่ลงไปสู่ที่สงัดก็เช่นกัน แต่เราทั้งหลายจะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า พระองค์เงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลพระองค์ตราบที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ บ่วงมรณาล้อมข้าพเจ้า ความเจ็บปวดแห่งแดนคนตายจับข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าพบความทุกข์โศกและความระทม แล้วข้าพเจ้าร้องทูลออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยชีวิตข้าพระองค์เถิด” พระยาห์เวห์ทรงมีพระคุณและทรงชอบธรรม พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงพระกรุณา พระยาห์เวห์ทรงปกป้องคนรู้น้อยไว้ เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด จิตใจของข้าเอ๋ย กลับไปสู่ที่พักของเจ้าเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงดีต่อเจ้าแล้ว เพราะพระองค์ ทรงช่วยข้าพระองค์จากความตาย ช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา ช่วยเท้าข้าพระองค์จากการสะดุด ข้าพเจ้าดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ ในดินแดนของคนเป็น ข้าพเจ้ายังเชื่ออยู่ แม้เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าทุกข์ยากยิ่งนัก” ข้าพเจ้ากล่าวในเวลาตกใจว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นคนโกหก” ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระยาห์เวห์? สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์ ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์ ความตายของผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ สำคัญในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นบุตรชายของหญิงคนใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงถอดโซ่ตรวนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระองค์ และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์ ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์ ในบริเวณพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม สรรเสริญพระยาห์เวห์
ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ให้อิสราเอลกล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ให้วงศ์วานอาโรนกล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ให้บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์กล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ข้าพเจ้า ได้ร้องทูลพระยาห์เวห์จากความคับแค้นใจ พระยาห์เวห์ทรงตอบข้าพเจ้าโดยประทานความโล่งใจให้ เมื่อพระยาห์เวห์ทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า? พระยาห์เวห์ทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้าเพื่อช่วยข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจะมองเห็นคนที่เกลียดข้าพเจ้าแพ้ เข้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์ ก็ดีกว่า วางใจในมนุษย์ เข้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์ ก็ดีกว่า วางใจในเจ้านาย ประชาชาติทั้งสิ้นได้ล้อมข้าพเจ้า แต่โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้า ได้ล้อมข้าพเจ้าทุกด้าน แต่โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้าเหมือนฝูงผึ้ง พวกเขามอดดับไป เหมือนไฟไหม้หนาม โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา ข้าพเจ้าถูกผลักอย่างแรง ข้าพเจ้ากำลังจะล้ม แต่พระยาห์เวห์ทรงช่วยข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า มีเสียงยินดีและไชโย อยู่ในเต็นท์ของผู้ชอบธรรมว่า “พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์ห้าวหาญนัก พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์เป็นที่เชิดชู พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์ห้าวหาญนัก” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย แต่ข้าพเจ้าจะเป็นอยู่ และประกาศพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงตีสอนข้าพเจ้าอย่างหนัก แต่พระองค์ไม่ทรงมอบข้าพเจ้าไว้กับความตาย ขอเปิดประตูความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าประตูนั้น ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระยาห์เวห์ นี่คือประตูของพระยาห์เวห์ คนชอบธรรมจะเข้าไปทางนี้ ข้าพระองค์ จะขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ และทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว การนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์ เป็นสิ่งอัศจรรย์ในสายตาเรา วันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้าง ให้เราเปรมปรีดิ์และยินดีในวันนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอดเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์ จงได้รับพระพร เราอวยพรพวกท่านจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และพระองค์ประทานความสว่างแก่เรา จงเริ่มเทศกาลเลี้ยงด้วยกิ่งไม้ ไปถึงเชิงงอนของแท่นบูชา พระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ -สดุดี 113-118
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วที่ 4
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הַגָּפֶן
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หากาเฟน
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาล ผู้ทรงสร้างผลของเถาองุ่น
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนก็ดื่มด้วยกัน
ผู้นำพูด:
ผู้นำสรุปโดยเตือนทุกคนว่างานเลี้ยงคืนนี้เตือนใจถึงการช่วยให้รอดของพระเจ้าต่อเรา ไม่เพียงแต่จากการเป็นทาสในอียิปต์เท่านั้น แต่จากบาปและความตาย ซึ่ความตายเป็นสิ่งที่เราสมควรได้รับเพราะบาปของเรา เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซู เหมือนที่ชาวอิสราเอลได้รับความรอดพานทางเลือดของลูกแกะในเทศกาลปัสกาครั้งแรก
ทุกคนพูดเสียงดังพร้อมกัน:
สุขสันต์วันปัสกา ขอให้เราไม่ลืมความรอดของพระเจ้า!
A. ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของอีสเตอร์/ปัสกา ..................................................................1
B. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับปัสกา ..............................................................................................8
C. การบันทึกความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู 4 ครั้ง: .................16
D. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู .........43
E. การเตรียมอาหารปัสกา ...................................................................................................47
F. วิธีฉลองปัสกาคริสเตียน ..................................................................................................48
A. ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของอีสเตอร์/ปัสกา
ตกลงเทศกาลนี้เรียกว่าอะไร? อีสเตอร์หรือปัสกา? ภาษาส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเทศกาลนี้ว่าเป็นปัสกา เพราะว่าคริสเตียนสมัยยุคแรกยังฉลอง ปัสกา พร้อมกับเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลเพ็นเทคอสต์ เทศกาลพลับพลา ซึ่งพันธะสัญญาใหม่ได้บันทึกไว้ว่าคริสเตียนยังฉลองอยู่ในสมัยยุคแรก คริสตจักรสมัยยุคแรกกระจัดกระจายค่อนข้างเร็วมากในเวลาที่คริสเตียนยังมีประเพณีของยิวอยู่ หลักฐานก็อยู่ที่ภาษาต่างๆของโลก ขอให้เราดูคำเรียกสำหรับ เทศกาล อีสเตอร์ ในแต่ละภาษา:
ภาษาแอฟริกัน "พาส-ฟีส" (น่าจะมาจาก คำว่า feast ที่แปลว่าเทศกาล)
ภาษาแอลเบเนีย "พาชเค"
ภาษาอาเซอร์ไบจาน "พาสคสา"
ภาษาบาสก์ "พาสโค"
ภาษาคาตาลัน "พาสคัว"
ภาษาคอร์ซิกา "พาสคัว"
ภาษาเดนมาร์ก "พาสเค"
ภาษาดัตช์ "เพเสน"
ภาษาฟินแลนด์ "เพเสียนเน"
ภาษาฝรั่งเศส "พาเคส"
ภาษาฟริเซียน "พิสเค"
ภาษากาลิเซีย "พาสคัว"
ภาษาเยอรมัน "ออสเทิร์น" (ต้นกำเนิดของอีสเตอร์)
ภาษากรีก "พัสชา"
ภาษาไอซ์แลนด์ "พัสคา"
ภาษาอิตาลี "พาสคัว"
ภาษากินยาร์วันดา "พัสิคา"
ภาษานอร์เวย์ "พาสเค"
ภาษาโปรตุเกส "พาสโควา"
ภาษาโรมาเนีย "พาสที"
ภาษารัสเซีย "พาสคหา"
ภาษาสเปน "พาสคัว ดี เรสเสอร์เรคชีอน" (ปัสกาแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย)
ภาษาสวาฮีลี "พัสคา"
ภาษาสวีเดน "พาสค์"
ภาษาไทย "อีสเตอร์" (อิทธิพลเยอรมัน)
ภาษาตุรกี "พัสคาลยา"
ภาษาเติร์กเมนิสถาน "พัชา"
ภาษาอุซเบก "พัสคสา"
ภาษาเวลส์ "พัสก์"
ภาษาโซซา "ไอพัสคา"
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ: คำว่าวันเสาร์ในหลายภาษาเป็นคำเดียวกับวันสะบาโต:
ภาษาบอสเนีย: สะบาทา
ภาษาเซบัวโน: สะบาโด
ภาษาคอร์ซิกา: สะบาทู
ภาษาโครเอเชีย: สะบาทา
ภาษาเช็ก: สะบาทา
ภาษาอังกฤษ: แสทเดิอเด (ของเทพเจ้าแสทเดิอเด เป็นอิทธิพลของโรม)
ภาษาฟิลิปปินส์: สะบาโด
ภาษาฝรั่งเศส: สะมาดี
ภาษากาลิเซีย: สะบาโด
ภาษากรีก: สะฟาโท
ภาษาอินโดนีเซีย: สับทู
ภาษาอิตาลี: สะบาโท
ภาษาไอริช: ดีสาเสร
ภาษามาเลย์: สับทู
ภาษาโปแลนด์: โสะโบทา
ภาษาโปรตุเกส: สะบาโด
ภาษาโรมาเนีย: สัมบาทา
ภาษารัสเซีย: สะโบทา
ภาษาสกอตเกลิค: ดีสาเสร
ภาษาเซอร์เบีย: สะโบทา
ภาษาสโลวาเกีย: สะโบทา
ภาษาสโลวีเนีย: สะโบทา
ภาษาสเปน: สะบาโด
ภาษาซุนดา: สัพทู
ภาษายูเครน: สะโบทา
ภาษาเวลส์: ดีสสาเดิน
วันที่ของปัสกาคริสเตียน:
ในศตวรรษที่ 3 ผู้นำคริสเตียนได้ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการกำหนดวันที่ต่างกันสำหรับวันอีสเตอร์ (สมัยนั้นก็ยังเรียกว่า ปัสกา) พวกเขาต้องการใช้ปฏิทินของตนเองจะได้ไม่ต้องพึ่งพาปฏิทินของชาวยิว (ปฏิทินฮีบรู) แต่ในขณะเดียวกันต้องการที่จะให้ใกล้ช่วงปัสกาเดิมเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างระบบที่ซับซ้อนในการกำหนดวันอีสเตอร์ปีต่อปี วันอีสเตอร์ของคาทอลิกและวันที่ของออร์โธดอกซ์แตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากวันที่ของคาทอลิกอิงตามปฏิทินเกรกอเรียน และวันที่ของออร์โธดอกซ์อิงตามปฏิทินจูเลียน อย่างไรก็ตาม คริสเตียนยุคแรกจะใช้ปฏิทินฮีบรู ดังนั้นนั่นคือสิ่งที่ผมแนะนำให้เราทำ (พูดตรงๆ วันในสัปดาห์ เดือนของปี และแม้แต่เทศกาลเช่นอีสเตอร์ ได้รับการตั้งชื่อตามเทศกาลรูปเคารพสมัยอดีต น่าเสียดายจริงๆ)
ตัวอย่างวัฒนธรรมรูปเคารพในชื่อภาษาอังกฤษสำหรับวันเดือนและเทศกาลต่างๆ แน่นอนภาษาไทยก็คล้ายเช่นเดียวกัน เห็นผลที่ผมอธิบายเรื่องเหล่านี้ก็เพราะว่าบางครั้งเราคิดว่า ถ้ามาจากภาษาอังกฤษมันต้องดีเพราะว่าเป็นคริสเตียน แต่ในสมัยโบราณคนอังกฤษไม่ใช่คริสเตียนนะครับ แต่เป็นคนไหว้รูปเคารพคล้ายๆคนไทยพุทธในปัจจุบันนะครับ ถ้าเราไปตั้งชื่อตามภาษาอังกฤษทุกอย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนะครับ
Easter (อีสเตอร์) : "อูสทาน" ซึ่งเป็นเทพเจ้าเยอรมันของฤดูใบไม้ผลิ (หลายครั้งคำนี้ก็จะใช้ในช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิ แต่ไม่ได้พูดถึงรูปเคารพในสมัยปัจจุบัน)
Halloween: (วันฮาโลวีน) : "สามเหน" คือเป็นวันของคนตายแล้ว
Sunday: วันไหว้ดวงอาทิตย์
Monday: วันไหว้ดวงจันทร์
Tuesday: วันของทิว หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์สของการต่อสู้
Wednesday: วันของโวเดน หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์ส โอเดน
Thursday: วันสอร์ หรือวันแห่งเทพเจ้านอร์สแห่งพายุ คือ "Thor"
Friday: วันเฟรยา หรือวันแห่งเทพีนอร์สเฟรยา
Saturday: วันแซทเทิร์น: วันแห่งเทพเจ้าโรมันแซทเทิร์น
January ตั้งชื่อตามเจนัส เทพเจ้าโรมันแห่งการเริ่มต้น
Febuary ตั้งชื่อตาม เฟบรัว พิธีกรรมชำระของชาวโรมัน
March ตั้งชื่อตาม มารส์ เทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน
April ตั้งชื่อตาม อาพรีลีส ซึ่งแปลว่าเปิด เหมือนดอกไม้บาน
May ตั้งชื่อตาม เมยา เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ของกรีก
June ตั้งชื่อตามจูโน เทพีแห่งการแต่งงานของโรมัน
July ตั้งชื่อตามจูเลียส ซีซาร์
August ตั้งชื่อตามจักรพรรดิออกุสตุส
September มาจากคำว่า เสพท์ (หมายถึงเดือนที่ 7) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 7 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
October มาจากคำว่า อคท์ (หมายถึงเดือนที่ 8) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 8 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
November มาจากคำว่า นอฟ์ (หมายถึงเดือนที่ 9) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 9 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
December มาจากคำว่า เดค์ (หมายถึงเดือนที่ 10) เนื่องจากเดิมเป็นเดือนที่ 10 จากทั้งหมด 10 เดือน ในระบบปฏิทินโรมันเก่า
ชื่อเหล่านี้อาจจะไม่ได้มาจากการไหว้รูปเคารพทั้งหมด แต่หลายชื่อก็ใช่ พวกเราควรจะทราบถึงความจริงนี้เวลาเข้าถึงเรื่องเช่นนี้ อาจจะไม่ได้ผิดที่จะใช้คำเหล่านี้ แต่ถ้าเราใช้คำที่ดีกว่าได้ ก็จะดี
พวกเราควรจะฉลองเทศกาลอีสเตอร์อย่างไร คริสเตียนสมัยยุคแรกรวมถึงคริสเตียนชาวกรีก ได้ฉลองเทศกาลนี้เป็นเทศกาลของยิวเรียกว่าปัสกา ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ และหลังจากปัสกา เป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ระยะเวลา 1 สัปดาห์ แต่สำหรับคริสเตียนมีความหมายเพิ่มเติมที่ได้มาพร้อมกับพันธะสัญญาใหม่ ว่าเป็นสัปดาห์ที่พระเยซูได้ตายและฟื้นขึ้นจากความตาย จริงๆผมอยากแนะนำให้คริสเตียนทุกๆที่ฉลองปัสกาและขนมปังไร้เชื้อตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ด้วยเพิ่มการระลึกถึงความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู อาจารย์เปาโลได้เขียนถึงสัปดาห์นี้ ด้วยการอ้างถึงขนมปังไร้เชื้อ แม้แต่เขากำลังพูดกับชาวกรีกที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ควรจะปฏิบัติตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระเยซูนั่งกับสาวกและฉลองปัสกา พระเยซูได้สอนความหมายของเทศกาลนี้ ก็เลยเป็นความคิดเห็นของผมว่าพวกเราไม่ควรจะลังเลในการฉลองเหมือนกัน
B. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับปัสกา -"จงถือคำสั่งนี้ให้เป็นกฎถาวรของพวกท่านและของลูกหลานพวกท่าน"
แล้วโมเสสเรียกพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลมาพร้อมกัน สั่งว่า “จงไปเอาลูกแกะสำหรับครอบครัวของพวกท่านมาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา และเอาต้นหุสบ กำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง ห้ามผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า เพราะพระยาห์เวห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง พระยาห์เวห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น และจะไม่ทรงให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านพวกท่านเพื่อจะประหารท่าน ท่านทั้งหลายจงถือคำสั่งนี้ให้เป็นกฎถาวรของพวกท่านและของลูกหลานพวกท่าน เมื่อพวกท่านไปถึงแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์จะประทานแก่พวกท่านตามที่ตรัสไว้แล้ว พวกท่านจงถือพิธีนี้ไว้ เมื่อลูกหลานของพวกท่านถามว่า ‘พิธีนี้หมายความว่าอะไร?’ พวกท่านจงตอบว่า ‘เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์ แต่โปรดไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’ ” ประชากรก็กราบลงนมัสการ แล้วชนชาติอิสราเอลก็ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสสและอาโรน -อพยพ 12:21-28
“ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศกำหนดเวลาให้เขารับรู้ ในเวลาเย็นวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่งเป็นวันเทศกาลปัสกา ของพระยาห์เวห์ และในวันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้พวกเจ้ารับประทานขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน ในวันแรกจงมีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำ แต่เจ้าจงถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ให้ครบเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดเป็นวันประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำใดๆ”
เลวีนิติ 23:4-8
ไม่ใช่ชาวยิวเท่านั้นแต่คนต่างชาติด้วย (คือพวกเราที่เป็นคริสเตียนส่วนมาก)
ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลายจะถือเทศกาลปัสกาแด่พระยาห์เวห์ ก็ให้เขาถือตามกฎเกณฑ์และกฎหมายของเทศกาลปัสกา เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและคนพื้นเมือง” -กันดารวิถี 9:14
...ยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป" -ยอห์น 1:29
พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ให้กับพวกท่าน เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่าท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน’ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์” คำเหล่านี้พระองค์ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม -ยอห์น 6:32-59
การที่พวกท่านโอ้อวดนั้นไม่ใช่สิ่งดีเลย ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน? จงชำระเชื้อ เก่าเสีย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังเช่นที่ท่านเป็นพวกไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเรา ถูกถวายบูชาแล้ว เพราะฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าซึ่งเป็นเชื้อของความชั่วและความเลว แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ คือความจริงใจและสัจจะ -1 โครินธ์ 5:6-8
ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้ เราจะยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ? เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ? -1 โครินธ์ 10:21-22
เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมพร้อมกันนั้น จึงไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าในการกินอาหารนั้น แต่ละคนต่างกินอาหารของตนก่อน บ้างก็ยังหิวอยู่ และบ้างก็เมา อะไรกันนี่ พวกท่านไม่มีบ้านที่จะกินและดื่มหรือ? หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และสร้างความอับอายให้กับคนที่ขัดสน จะให้ข้าพเจ้าพูดอย่างไร? จะให้ชมพวกท่านหรือ? ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่านในเรื่องนี้เลย เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก ฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น จงรอกันและกัน ถ้ามีใครหิว ก็ให้กินที่บ้านก่อน เพื่อว่าเมื่อมาชุมนุมกัน พวกท่านจะไม่ถูกลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ข้าพเจ้าจะสั่งสอนเมื่อข้าพเจ้ามา -1 โครินธ์ 11:20-34
(วันฉลองปัสกา ก็จะเปลี่ยนทุกปีเพราะจะขึ้นอยู่กับปฏิทินฮีบรู)
C. การบันทึกความตายและการฟื้นขึ้นของพระเยซู 4 ครั้ง:
บันทึกของมัทธิว:
พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในกองบัญชาการปรีโทเรียม และรวมทหารทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียร ของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์” ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และนี่แน่ะ ม่าน ในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี เมื่อถึงเวลาพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา โยเซฟก็เชิญพระศพลงและเอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนที่สกัดไว้ในศิลา และกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์ วันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันเตรียม พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต เรียนว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’ เพราะฉะนั้น ขอท่านมีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” ปีลาตจึงบอกพวกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่จะทำได้” พวกเขาจึงไปจัดการทำให้อุโมงค์แน่นหนาและประทับตราไว้ที่หิน แล้ววางยามประจำอยู่
ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์ ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์และกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งอยู่บนหินนั้น รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว” หญิงเหล่านั้นก็รีบไปจากอุโมงค์ ด้วยความกลัวและความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และวิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น” ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไป นี่แน่ะ มียามบางคนเข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นให้พวกหัวหน้าปุโรหิตฟัง เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินก้อนใหญ่ให้กับพวกทหาร และสั่งว่า “พวกเจ้าต้องพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักขโมยเอาศพไปตอนกลางคืน ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่’ ถ้าเรื่องนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ตัวให้พวกเจ้าพ้นโทษ” เมื่อทหารรับเงินแล้วก็ทำตามคำแนะนำ แล้วเรื่องนี้ก็ลือกันในหมู่พวกยิวจนถึงทุกวันนี้ แต่สาวกสิบเอ็ดคนก็ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้ และเมื่อเห็นพระองค์เขาทั้งหลายจึงกราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” -มัทธิว 27:27-28:20
การบันทึกของมาระโก:
พวกทหารจึงนำพระองค์เข้าไปยังลานของราชสำนัก (คือกองบัญชาการปรีโทเรียม) แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองมาประชุมกัน พวกเขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎมาสวมพระเศียรพระองค์ แล้วคำนับพระองค์กล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วพวกเขาเอาไม้อ้อตีพระเศียรของพระองค์ ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อสีม่วงนั้นออก แล้วเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน มีคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส เดินทางจากบ้านนอกมาตามเส้นทางนั้น พวกเขาจึงเกณฑ์ซีโมนให้แบกกางเขนของพระองค์ พวกเขาพาพระองค์มาถึงที่แห่งหนึ่งชื่อกลโกธา (แปลว่ากะโหลกศีรษะ) แล้วพวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับมดยอบให้พระองค์เสวย แต่พระองค์ไม่ทรงรับ แล้วพวกเขาก็ตรึงพระองค์ที่กางเขน และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์ มาจับฉลากแบ่งกัน เพื่อจะรู้ว่าใครได้อะไร ขณะที่พวกเขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาสามโมงเช้า มีคำจารึกข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไว้ว่า “กษัตริย์ของพวกยิว” และพวกเขาเอาโจรสองคนมาตรึงพร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย ว่า “เฮ้ย เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอดเถอะ แล้วก็ลงจากกางเขนเสียทีสิ” ท่ามกลางพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ก็มีการเยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ขอเชิญพระคริสต์กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะ พวกเราจะได้เห็นและเชื่อ” และสองคนนั้นที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็กล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์ เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูก็ทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์” มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งถวายให้พระองค์เสวย แล้วกล่าวว่า “คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงหรือเปล่า?” แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ ม่าน ในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์ เมื่อได้ยินพระองค์ร้องเสียงดัง และเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร จึงกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงเหล่านั้น มีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นพวกที่ติดตามและปรนนิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี และยังมีผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ และเพราะเหตุว่าวันนั้นเป็นวันเตรียมคือวันก่อนวันสะบาโต โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นคนที่กำลังคอยแผ่นดินของพระเจ้า ไปหาปีลาตด้วยความกล้าหาญเพื่อขอพระศพของพระเยซู ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว จึงเรียกนายร้อยมาถามว่า ตายแล้วหรือ เมื่อรู้เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบพระศพให้แก่โยเซฟ แล้วโยเซฟก็ไปซื้อผ้าป่าน และอัญเชิญพระศพลงมา เอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วอัญเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดจากศิลา แล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้ มารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสสได้เห็นสถานที่ที่พระศพถูกบรรจุไว้
เมื่อวันสะบาโตผ่านพ้นไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบพร้อมกับนางสะโลเม ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระองค์ เวลารุ่งเช้าวันอาทิตย์ พอดวงอาทิตย์ขึ้น พวกนางก็มาที่อุโมงค์ และกำลังพูดกันอยู่ว่า “ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์” เพราะเป็นหินก้อนใหญ่ แต่เมื่อพวกนางมองดูก็เห็นหินก้อนนั้นกลิ้งออกไปแล้ว เมื่อพวกนางเข้าไปในอุโมงค์ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวนั่งอยู่ทางขวามือ พวกนางก็ตกตะลึง ชายหนุ่มคนนั้นบอกพวกนางว่า “อย่ามัวตะลึงอยู่เลย พวกท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนซินะ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่วางพระศพของพระองค์เถิด พวกท่านจงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านไว้แล้ว” หญิงเหล่านั้นจึงออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไป เพราะพิศวงงงงวยและตกใจจนตัวสั่น พวกนางไม่ได้พูดกับใครเพราะกลัว [ หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในวันเวลารุ่งเช้าวันอาทิตย์ พระองค์ทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ทรงขับผีออกเจ็ดตน มารีย์จึงไปบอกบรรดาคนที่เคยอยู่กับพระองค์มาก่อน ขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้ว พวกเขายังไม่เชื่อ ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พระองค์ปรากฏพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคน ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางออกไปนอกเมือง สาวกสองคนนั้นจึงกลับมาบอกสาวกคนอื่นๆ แต่พวกเขาไม่เชื่อ หลังจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏกับสาวกสิบเอ็ดคน ขณะพวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาในเรื่องความสงสัยและใจดื้อดึง เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อคนที่ได้เห็นพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขากินยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา และพวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” หลังจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งพวกเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกสาวกจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งหน และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับพวกเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของพวกเขา ด้วยการให้มีหมายสำคัญประกอบคำสอน] -มาระโก 15:16-16:20
การบันทึกของลูกา:
เมื่อกำลังพาพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ซีโมนชาวไซรีนที่มาจากบ้านนอก แล้วเอากางเขนวางบนตัวเขา ให้แบกตามพระเยซูไป มีคนจำนวนมากตามพระองค์ไปด้วย ทั้งพวกผู้หญิงที่กำลังทุกข์โศกและคร่ำครวญเพราะพระองค์ พระเยซูทรงหันมาทางพวกเขาตรัสว่า “ธิดาทั้งหลายแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด เพราะว่าจะมีเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า ‘พวกผู้หญิงที่เป็นหมัน และครรภ์ที่ไม่ได้ปฏิสนธิ และเต้านมที่ไม่เคยเลี้ยงลูก ก็เป็นสุข’ ในเวลานั้นเขาจะเริ่ม พูดกับภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงพังลงมาทับเรา’ และพูดกับเนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’ เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้ยังสดอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้ว?” มีอีกสองคนที่เป็นผู้ร้าย ซึ่งเขาพาไปประหารชีวิตพร้อมกับพระองค์ เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั่นบนกางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” แล้วพวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน ประชาชนก็ยืนมองดูอยู่ พวกผู้นำก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้” พวกทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย และเข้ามาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด” เหนือพระองค์มีคำจารึกไว้ด้วยว่า “คนนี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว” ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย” แล้วคนนั้นจึงทูลว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่าน ในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์ เมื่อนายร้อยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” ฝูงชนทั้งหมดที่มาชุมนุมกันเพื่อจะดูเหตุการณ์นั้น เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกชกตัวกลับไป ทุกคนที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งตามพระองค์มาจากกาลิลี ก็ยืนอยู่แต่ไกลมองเห็นสิ่งเหล่านี้ มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ท่านเป็นสมาชิกสภา เป็นคนดีและชอบธรรม ท่านไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภานั้น ท่านเป็นชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นเมืองของพวกยิว และเป็นคนที่คอยแผ่นดินของพระเจ้า ชายคนนี้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพของพระเยซู เมื่อเขาเอาพระศพลงแล้ว จึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วนำพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งเจาะไว้ในศิลา อุโมงค์นั้นยังไม่เคยวางศพของใครเลย วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และใกล้จะถึงวันสะบาโตแล้ว พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ
ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ พวกนางพบว่าก้อนหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะกำลังฉงนสนเท่ห์เพราะเหตุการณ์นั้น นี่แน่ะ มีชายสองคนยืนอยู่ใกล้พวกนาง เครื่องนุ่งห่มแพรวพราวจนพร่าตา ผู้หญิงเหล่านั้นก็หวาดกลัวและซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับพวกนางว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม? [พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว] จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’ ” พวกนางจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ เมื่อกลับจากอุโมงค์แล้ว พวกนางก็เล่าเหตุการณ์นี้ทั้งหมดแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ด้วย คนที่เล่าเหตุการณ์เหล่านั้นแก่พวกอัครทูตคือ มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่กับพวกนาง แต่พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล [แต่เปโตรลุกขึ้น วิ่งไปที่อุโมงค์ เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านเท่านั้น จึงกลับไปด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น] ในวันนั้นเองมีสาวกสองคนเดินทางไปหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนาซักถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินด้วยกัน แต่ตาของเขาทั้งสองถูกปิดกั้นทำให้จำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “ระหว่างทางที่เดินมานี่ท่านโต้ตอบกันเรื่องอะไร?” เขาก็หยุดยืน หน้าตาโศกเศร้า คนที่ชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นแขกเมืองในกรุงเยรูซาเล็มเพียงคนเดียวหรือที่ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้?” พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “เหตุการณ์อะไร?” เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เหตุการณ์เรื่องเยซูชาวนาซาเร็ธผู้เผยพระวจนะที่มีฤทธิ์เดชในกิจการและถ้อยคำต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชน พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกผู้นำของเรามอบตัวท่านไว้ให้ถูกลงโทษถึงตาย และตรึงท่านที่กางเขน แต่เรามีความหวังว่าท่านจะเป็นผู้นั้นที่มาไถ่ชนชาติอิสราเอล ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มีผู้หญิงบางคนในพวกเราที่ทำให้เราประหลาดใจ พวกนางไปที่อุโมงค์เมื่อเวลาเช้ามืด แต่ไม่พบศพของท่าน จึงมาเล่าว่าเห็นนิมิตเป็นทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์นั้นบอกว่าท่านผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนในเราจึงไปที่อุโมงค์ และพบเหมือนที่ผู้หญิงเหล่านั้นบอก แต่เขาไม่เห็นท่านเยซู” พระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด เมื่อมาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์ทรงทำทีว่าจะเสด็จเลยไป เขาทั้งสองจึงคะยั้นคะยอพระองค์ว่า “เชิญท่านมาพักด้วยกันเถิด เพราะจวนจะค่ำและใกล้จะหมดวันอยู่แล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักอยู่กับเขา เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา เขาจึงพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งสองก็ลุกขึ้นในเวลานั้น แล้วกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และพบว่าพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมกับพรรคพวก กำลังพูดกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ และทรงปรากฏแก่ซีโมน” สองคนนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทาง และเรื่องที่เขารู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระองค์เสด็จมาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม? เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ? จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อ การยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านเองก็เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ นี่แน่ะ เราจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญานั้น ลงมาเหนือท่าน แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะสวมด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน ” พระองค์จึงพาพวกเขาออกไปจนถึงหมู่บ้านเบธานี และยกพระหัตถ์ทั้งสองอวยพรเขา ขณะที่ทรงอวยพรอยู่นั้น พระองค์เสด็จจากพวกเขาไป [และพระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์] พวกเขาจึง [นมัสการพระองค์แล้ว] กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดีอย่างยิ่ง และอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า -ลูกา 23:26- 24:53
การบันทึกของยอห์น:
แล้วปีลาตก็มอบพระองค์ให้เขาไปตรึงที่กางเขน พวกทหารจึงพาพระเยซูไป และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ที่เรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา ที่นั่นพวกเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนพร้อมกับชายอีกสองคนคนละข้าง โดยมีพระเยซูทรงอยู่กลาง ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว” พวกยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก พวกหัวหน้าปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่เขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า “เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว” ’ ” ปีลาตตอบว่า “อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป” เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาเสื้อของพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่เสื้อใน เสื้อในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปรึกษากันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ” ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งกัน และเสื้อของข้าพระองค์เขาจับฉลากกัน” พวกทหารทำกันอย่างนี้ คนที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้นมีมารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัสและมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน” แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ พระองค์จึงตรัสว่า “เรากระหายน้ำ” ที่นั่นมีภาชนะใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบ ชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไป เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่) ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิ ของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว” และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง” หลังจากนั้น โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซูเนื่องจากกลัวพวกยิว ก็มาขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพของพระองค์ไป นิโคเดมัสคนที่ตอนแรกเคยไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้น ก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย เขาทั้งสองอัญเชิญพระศพพระเยซูมา แล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว ในบริเวณที่พระองค์ถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
วันอาทิตย์ เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์) พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัย บาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ” โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
ต่อมาพระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้ คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าดิดุโมส นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคน กำลังอยู่ด้วยกัน ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย เมื่อถึงรุ่งเช้า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ?” เขาตอบว่า “ยัง” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก บอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมาและลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง” ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?” เขาทูลพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป” (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด) เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา (สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงใกล้พระองค์ขณะรับประทานอาหารและทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะทรยศพระองค์เป็นใคร?”) เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด” เพราะฉะนั้นคำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูไม่ได้ตรัสกับเขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน?” สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น -ยอห์น 19:16- 21:25
D. ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับความตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู
พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?”
ยอห์น 11:25-26
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย -ยอห์น 14:1-3
ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะว่า “พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจภายใต้พระบาทของพระบุตร ” แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจนั้น ก็รู้ชัดกันอยู่แล้วว่า ยกเว้นพระเจ้าผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์
1 โครินธ์ 15:26-27
และเช่นเดียวกับที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน เราก็จะมีลักษณะของมนุษย์สวรรค์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?” เหล็กในของความตายนั้นคือบาป และอำนาจของบาปคือธรรมบัญญัติ สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา -1 โครินธ์ 15:49-57
ข้าพเจ้าคาดหมายและหวังว่าจะไม่ได้รับความละอายใดๆ เลย แต่โดยความกล้าหาญอย่างยิ่ง พระคริสต์จะทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญในร่างกายของข้าพเจ้าในเวลานี้ดังเช่นที่เคยได้ตลอดมา ไม่ว่าจะโดยชีวิตหรือความตาย เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร -ฟีลิปปี 1:20-21
แต่เราเป็นพลเมืองแห่งสวรรค์ และเรารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงร่างกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี ตามพลังอำนาจที่ทำให้พระองค์สามารถให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ -ฟีลิปปี 3:20-21
เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ
2 ทิโมธี 1:8-10
บุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อเช่นกันอย่างไร พระองค์ก็ทรงมีส่วนเช่นนั้นด้วยอย่างนั้น เพื่อโดยทางความตายนั้น พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจ แห่งความตาย และจะทรงปลดปล่อยบรรดาคนเหล่านั้นที่ตกเป็นทาสมาตลอดชีวิตเนื่องจากความกลัวตาย -ฮีบรู 2:14-15
พระองค์จะทรงกลืนความตายเสียเป็นนิตย์ แล้วพระยาห์เวห์ องค์เจ้านายจะทรงเช็ดน้ำตาจากทุกใบหน้า และจะทรงเอาการลบหลู่แห่งชนชาติของพระองค์ไปจากทั้งแผ่นดินโลก เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว -อิสยาห์ 25:8
ในที่นั้นจะไม่มี ทารกซึ่งมีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนแก่ที่มีอายุไม่ครบกำหนด เพราะคนตายเมื่ออายุร้อยปีจะถือว่าอ่อนวัย ส่วนคนอายุน้อยกว่าร้อยปีจะถือว่าถูกแช่งสาป -อิสยาห์ 65:20
E. การเตรียมอาหารปัสกา:
ขนมปังไร้เชื้อ: จะต้องมีขนมปังไร้เชื้อ 2 ชิ้นต่อคน บวกอีก 3 ชิ้น
เหล้าองุ่นหรือนำองุ่น 4 แก้วต่อคน
5 อย่างที่ต้องวางบนจานปัสกา:
1. กระดูกขาแกะย่าง
2. ไข่ย่าง
3. ขึ้นฉ่ายหรือผักชีฝรั่ง
4. ชาโรเสท: น้ำองุ่นหรือไวน์ผสมกับถั่วผสมแอปเปิ้ลหั่นเต๋าและปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เช่น อบเชย
5. สมุนไพรที่มีรสขม: ฮอสแรดิช มะรุม หรือวาซาบิ
อาหารหลัก: เนื้อส่วนหน้าอก (beef brisket) ซุปมัทซาห์บอล (Matza-ball soup) ไก่ย่าง (อาหารทุกอย่างจะสะอาดตามพระคัมภีร์บอก ไม่กินหมูหรือเลือดหรือสัตว์ชนิดอื่นที่เป็นอาหารมลทิน)
F. วิธีฉลองปัสกาคริสเตียน
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วแรก
ผู้นำอธิษฐาน:
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้เรารอดจากการเป็นทาส ทั้งผ่านการอพยพจากการเป็นทาสในอียิปต์ และจากการเป็นทาสของบาป โดยทางพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ของเรา คือพระเยซูคริสต์
อธิบายสั้นๆ 5 อย่างที่ต้องวางบนจานปัสกา:
1. กระดูกขาแกะย่าง - หมายถึงลูกแกะของพระเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ไถ่บาปให้แก่เราแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเนื้อ
2. ไข่ย่าง - หมายถึง haggigah หรือเครื่องบูชาในเทศกาลซึ่งแตกต่างจากเครื่องบูชาปัสกา ไข่ หมายถึงชีวิตใหม่ เมื่อพระคริสต์สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา เราได้รับชีวิตใหม่ และในทางกลับกัน เราสละชีวิตของเราลงเพื่อพระองค์ เป็นเครื่องบูชาอีกประเภทหนึ่ง
3. ขึ้นฉ่ายหรือผักชีฝรั่ง- นี่แสดงถึงการทรยศต่อโยเซฟโดยพี่น้องของเขา ความขมขื่นของการเป็นทาส แต่เรามีความหวังว่าแม้ในโลกที่เสื่อมทรามนี้ พระเจ้าจะทรงสถิตกับเรา
4. Charoset: ชาโรเสท: น้ำองุ่นหรือไวน์ผสมกับถั่วผสมแอปเปิ้ลหั่นเต๋าและปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เช่นอบเชย - หมายถึงปูนที่ชาวอิสเรียลทำขึ้นเพื่อสร้างเมืองในอียิปต์
5. สมุนไพรที่มีรสขม: ฮอสแรดิช มะรุม หรือวาซาบิ - หมายความว่าความขมขื่นของการเป็นทาสในอียิปต์ และมากไปกว่านั้นต่อโลก บาป และความตาย
ทุกคนอ่านคำอธิษฐาน "หากาเฟน" พร้อมกัน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הַגָּפֶן
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หากาเฟน
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาล ผู้ทรงสร้างผลของเถาองุ่น
ผู้นำทำ:
ส่งอ่างล้างมือไปรอบๆ
ทุกคนทำด้วยกัน:
ผู้เข้าร่วมแต่ละคนควรล้างมือและเช็ดมือให้แห้ง
ผู้นำพูด:
นี่หมายความว่าเราต้องเข้าหาพระเจ้าด้วยใจที่สะอาดและบริสุทธิ
ผู้นำทำ:
จุ่มผักชีฝรั่งลงในน้ำเกลือ
ผู้นำพูด:
สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงน้ำตาของเราในการเป็นทาส
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הָאֲדָמָה:
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หาดามา
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาลผู้ทรงสร้างผลของโลก
ทุกคนทำด้วยกัน:
กินผักด้วยกัน
ผู้นำทำ:
ผู้นำเอาขนมปังไร้เชื้อชิ้นกลางออกจาก 3 ชิ้นที่วางไว้ ควรจะหักเป็น 2 ท่อน เอาผ้าผืนใหญ่ห่อไว้ แล้วซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในบ้านเพื่อให้ลูกหลานมาพบในภายหลัง
ผู้นำพูด:
สิ่งนี้เตือนเราว่าพระเยซูถูกหัก ถูกห่อหุ้ม และฝังไว้
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนก็ยกแผ่นขนมปังมัทซาห์หนึ่งชิ้น
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה, יְיָ אֱלֹהֵינוּ, מֶלֶךְ הָעוֹלָם הַמּוֹצִיא לֶחֶם מִן הָאָרֶץ.
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี หา โมท สี เลคเอม มิน หา อา เรทส์
สาธุการแด่พระองค์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา กษัตริย์ผู้ทรงบันดาลให้เกิดอาหารจากแผ่นดินโลก
ผู้นำพูด:
ขนมปังนั้นเหมือนกับขนมปังที่ชาวอิสราเอลกินเมื่อออกจากอียิปต์ การไม่มียีสต์แสดงถึงการไม่มีบาปในชีวิตของเราเนื่องจากการไถ่บาปนั้นผ่านทางพระเยซู
ทุกคนทำด้วยกัน:
วางขนมปังมัทซาห์
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วที่ 2
เด็กที่อายุน้อยที่สุดในบ้านที่สามารถอ่านได้ควรอ่านคำถาม:
คืนอื่นเราไม่จุ่มอาหาร ทำไมคืนนี้เราจุ่มอาหารสองครั้ง?
คืนอื่นเรากินขนมปังปกติ ทำไมเรากินเฉพาะขนมปังไร้เชื้อคืนนี้?
คืนอื่นเรากินผักอื่น ทำไมเรากินผักชีฝรั่งคืนนี้?
ในคืนอื่นๆ เรานั่งบนเก้าอี้ ทำไมคืนนี้เราเอนกาย?
ผู้นำตอบว่า:
คืนนี้แตกต่างออกไปเพราะคืนนี้เราระลึกถึงการที่พระเจ้าช่วยเราจากการเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์และการเป็นทาสของความบาปของเรา เราจุ่มอาหารของเราเพื่อเตือนให้เรานึกถึงน้ำตาที่มาจากการเป็นทาสของเรา การรับประทานมัทซาห์ทำให้เรานึกถึงชาวฮีบรูที่รีบออกจากอียิปต์และความบริสุทธิ์ของพระเยซู สมุนไพรที่ขมได้เตือนเราถึงความขมขื่นของการเป็นทาส - ทั้งในอียิปต์และถึงบาปของเรา เราเอกเขนกขณะที่เรานั่งเหมือนเป็นราชวงศ์เพราะเราได้กลายเป็นคนอิสระ
ผู้นำพูด:
ผู้นำเล่าเรื่องปัสกา ในช่วงที่ระลึกถึงโรคระบาด ผู้เข้าร่วมจุ่มนิ้วลงในไวน์และหยดไวน์ลงบนแผ่นขนมปังมัทซาห์ที่นึกถึงภัยพิบัติแต่ละชนิด (เลือด กบ เหา แมลงวัน ปศุสัตว์ ฝี ลูกเห็บ ตั๊กแตน ความมืด และการตายของบุตรหัวปี) ผู้นำควรเน้นเรื่องจริงของเทศกาลปัสกา (เลือดลูกแกะที่เสาประตูช่วยคนของพระเจ้า) และเลือดของพระเยซูอนุญาตให้เราอพยพออกจากการเป็นทาสของความบาป
ทุกคนทำด้วยกัน:
แต่ละคนควรถือแผ่นขนมปังมัทซาห์ชิ้นหนึ่ง
ผู้นำพูด:
เรากินมัทซาห์เพราะชาวอิสราเอลไม่มีเวลาให้ขนมปังของพวกเขาลุกขึ้น มัทซาห์ก็เหมือนกับพระเยซูเช่นกัน ผู้ซึ่งไม่ได้ “เจือเชื้อ” ด้วยบาปเพื่อที่เขาจะได้เป็นเครื่องบูชาเพื่อพวกเรา
ผู้นำทำและพูด:
ผู้นำควรยกสมุนไพรที่มีรสขมและบอกทุกคนว่าสิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงความขมขื่นของการเป็นทาส จากนั้นหัวหน้าก็วางสมุนไพร
จากนั้นผู้นำควรอธิบายว่า ชาโรเสท ทำให้เรานึกถึงปูนที่ทาสชาวอิสราเอลใช้สร้างอาคารอิฐสำหรับชาวอียิปต์
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนยกแก้วที่สองขึ้น
ผู้นำอธิษฐาน:
ผู้นำสรรเสริญพระเจ้าที่ช่วยเราให้รอดและสำหรับผลขององุ่น
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนควรดื่มและกินขนมปังมัทซาห์
ผู้นำอธิษฐาน:
สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงบัญชาให้เรากินสมุนไพรที่มีรสขม
ทุกคนทำด้วยกัน:
ใส่สมุนไพรที่มีรสขม บนขนมปังมัทซาห์และรับประทานอาหารด้วยกัน
ผู้นำอธิษฐาน:
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารและในครั้งนี้เพื่อระลึกถึงปัสกาและพระเยซูลูกแกะปัสกาของเรา
แม่ครัวเอาอาหารมาเสิร์ฟได้แล้ว:
อาหารพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
ผู้นำพูดหลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว:
ถึงเวลากินไวน์แก้วที่ 3 อาจจะรู้จักส่วนนี้จากพิธีมหาสนิทที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
ผู้นำพูด:
มัซซาห์ชิ้นกลางถูกซ่อนไว้ ถึงเวลาแล้วที่เด็กๆ จะต้องค้นหา
ทุกคนทำด้วยกัน:
ให้เด็กๆ ไปหาแผ่นมัซซาห์ นี่ผู้ปกครอง ค่อยๆดู และช่วยเวลาจำเป็น
ผู้นำทำ:
ผู้นำจะแบ่งมาตซาห์ที่หักแล้วออกเป็นชิ้นๆ และให้ผู้เชื่อแต่ละคนที่โต๊ะ
เทไวน์อีกแก้ว และทุกคนควรถือขนมปังมัทซาห์และไวน์
ผู้นำพูด:
เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา”
1 โครินธ์ 11:24
ทุกคนทำด้วยกัน:
จากนั้นทุกคนควรกิน ขนมปังมัทซาห์ของตนแล้วยกถ้วยไวน์ขึ้น
ผู้นำพูด:
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” 1 โครินธ์ 11:25 (มารโก 14:24 ด้วย)
ผู้เชื่อทุกคน:
ดื่มแก้วที่ 3 ด้วยกัน
ผู้นำพูด:
หลังจากนี้ พระเยซูตรัสว่าจะไม่ดื่มถ้วยที่สี่ ซึ่งอาจทำให้เหล่าสาวกประหลาดใจ
"เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา” -ลูกา 22:18
หลังจากนั้น ยอห์นบันทึกเหตุการณ์นี้ให้พวกเราได้อ่าน
เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ -ยอห์น 19:30
แก้วสุดท้ายที่พระเยซูดื่มคือแก้วแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่ควรจะตกอยู่กับเรา แล้วทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” -มัทธิว 26:39
พระองค์จึงเสด็จไปทรงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” -มัทธิว 26:42
แต่ท่านถูกแทง เพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาป ของเราทุกคนลงบนตัวท่าน ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น ท่านถูกนำตัวไปด้วยการบังคับและการตัดสิน และคนในยุคสมัยของท่านนั้น มีใครเล่าที่คิดว่า ที่ท่านถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็นนั้น ที่ท่านถูกตีนั้นเพราะการทรยศของชนชาติของข้าพเจ้า และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนอธรรม และเขาจัดท่านไว้ กับเศรษฐีในความตายของท่าน แม้ว่าท่านไม่ได้ทำการทารุณใดๆ และไม่มีการหลอกลวงใดๆ ในปากของท่าน แต่พระยาห์เวห์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่าน เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันเวลาของท่าน พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน ภายหลังความลำบากของตัวเขา เขาจะเห็น และจะพึงพอใจ โดยความรู้ของเขา ผู้รับใช้ชอบธรรมของเรา จะทำให้คนจำนวนมากเป็นคนชอบธรรม และเขาจะแบกความบาปผิดทั้งหลายของพวกเขา เพราะฉะนั้นเราจะแบ่งส่วนหนึ่งแก่เขาเช่นเดียวกับคนใหญ่โต และเขาจะแบ่งของริบกับพวกผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเขาเทตัวของเขา ลงถึงความมรณะ และถูกนับเข้ากับพวกคนทรยศ เขาเองแบกบาปของคนจำนวนมาก และเขาอ้อนวอนเพื่อพวกคนทรยศ -อิสยาห์ 53:5-12
ถึงเวลาร้องเพลงด้วยกัน:
เพลง ลูกแกะพระเจ้า Lamb of God (Twila Paris)
Intro: C G C G (x2)
C G7 C
1.บุตรเพียงองค์เดียวผู้ไม่มีบาป
G F Dm7 C
**ลูกแกะพระเจ้า ลูกแกะพระเจ้า
F Dm7 G7
พระองค์ประทานให้แก่โลกา
F Dm7 G
ลูกรักพระองค์ ลูกแกะพระเจ้า
F Am Em F
ดำเนินอยู่บนพื้นบาปความผิด
F Em7 Am7
ชำระลูกใน โลหิตประเสริฐ
Dm7 G7 C
เพื่อจะทรงเป็น ลูกแกะพระเจ้า
Dm7 G7 C
โอ พระเยซู ลูกแกะพระเจ้า
C G7 C
2.ของขวัญล้ำค่า พวกเขาตรึงไว้
C G7 C
3.ครั้งหนึ่งหลงหาย และลูกควรตาย
F Dm7 G7
หัวเราะเยาะเย้ย เมื่อพระองค์ตาย
F Dm7 G
แต่พระองค์ทรง นำลูกข้างกาย
F Am Em F
กษัตริย์ผู้ถ่อม พวกเขาหยามเหยียด
F Am Em F
คทาพระกรเล้าโลมนำทาง
Dm7 G7 C
และปลงพระชนม์ ลูกแกะพระเจ้า
Dm7 G7 C
และเรียกลูกว่า แกะของพระองค์
อาสาสมัครคนนึงอ่าน:
ถึงเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน:
สรรเสริญพระยาห์เวห์ บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เอ๋ย จงสรรเสริญเถิด จงสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์ ขอให้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นที่สรรเสริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่สรรเสริญ พระยาห์เวห์ประทับอยู่สูงเหนือประชาชาติทั้งสิ้น และพระสิริของพระองค์สูงเหนือฟ้าสวรรค์ ผู้ใดเป็นเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ผู้ประทับบนที่สูง ผู้โน้มพระองค์ลงทอดพระเนตร ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก? พระองค์ทรงยกคนจนขึ้นมาจากผงคลี และทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขี้เถ้า เพื่อให้เขานั่งกับบรรดาเจ้านาย กับบรรดาเจ้านายแห่งชนชาติของพระองค์ พระองค์โปรดให้หญิงหมันมีบ้านอยู่ เป็นแม่ที่ชื่นบานมีบุตร สรรเสริญพระยาห์เวห์
เมื่ออิสราเอลออกจากอียิปต์ คือวงศ์วานของยาโคบออกจากชนชาติต่างภาษา ยูดาห์กลายเป็นสถานนมัสการของพระองค์ อิสราเอลกลายเป็นราชอาณาจักรของพระองค์ ทะเล เห็นแล้วหนี แม่น้ำจอร์แดนหันหลังกลับ ภูเขากระโดดเหมือนแกะผู้ เนินเขากระโดดเหมือนลูกแกะ ทะเลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงหนี? แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงหันหลังกลับ? ภูเขาเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกระโดดเหมือนแกะผู้? เนินเขาเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกระโดดเหมือนลูกแกะ? แผ่นดินเอ๋ย จงตัวสั่น เฉพาะพระพักตร์องค์เจ้านายเถิด คือเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของยาโคบ ผู้ทรงเปลี่ยนหินให้เป็นสระน้ำ คือทรงเปลี่ยนหินเหล็กไฟ ให้เป็นน้ำพุ
พระเกียรตินี้มิใช่มีแก่เหล่าข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ มิใช่มีแก่เหล่าข้าพระองค์เลย แต่แด่พระนามของพระองค์ เนื่องจากความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ทำไมบรรดาประชาชาติจะกล่าวว่า “พระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่ไหนเล่า?” พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พอพระทัย พระองค์ก็ทรงกระทำ รูปเคารพของคนเหล่านั้นเป็นเงินและทองคำ เป็นผลงานของมือมนุษย์ รูปเหล่านั้นมีปาก แต่พูดไม่ได้ มีตา แต่ดูไม่ได้ มีหู แต่ฟังไม่ได้ มีจมูก แต่ดมไม่ได้ มีมือ แต่คลำไม่ได้ มีเท้า แต่เดินไม่ได้ รูปเหล่านั้นทำเสียงในคอไม่ได้ ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน อิสราเอลเอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย วงศ์วานอาโรนเอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย ท่านผู้ยำเกรงพระยาห์เวห์เอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย พระยาห์เวห์ทรงระลึกถึงเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงอวยพร จะทรงอวยพรวงศ์วานอิสราเอล จะทรงอวยพรวงศ์วานอาโรน พระองค์จะทรงอวยพรบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พวกท่านเพิ่มพูนขึ้น ทั้งท่านและลูกหลานของท่าน ขอให้พวกท่านรับพระพรจากพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ฟ้าสวรรค์สูงสุดเป็นของพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ประทานแผ่นดินโลกแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนตายไม่สรรเสริญพระยาห์เวห์ และทุกคนที่ลงไปสู่ที่สงัดก็เช่นกัน แต่เราทั้งหลายจะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า พระองค์เงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลพระองค์ตราบที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ บ่วงมรณาล้อมข้าพเจ้า ความเจ็บปวดแห่งแดนคนตายจับข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าพบความทุกข์โศกและความระทม แล้วข้าพเจ้าร้องทูลออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยชีวิตข้าพระองค์เถิด” พระยาห์เวห์ทรงมีพระคุณและทรงชอบธรรม พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงพระกรุณา พระยาห์เวห์ทรงปกป้องคนรู้น้อยไว้ เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด จิตใจของข้าเอ๋ย กลับไปสู่ที่พักของเจ้าเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงดีต่อเจ้าแล้ว เพราะพระองค์ ทรงช่วยข้าพระองค์จากความตาย ช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา ช่วยเท้าข้าพระองค์จากการสะดุด ข้าพเจ้าดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ ในดินแดนของคนเป็น ข้าพเจ้ายังเชื่ออยู่ แม้เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าทุกข์ยากยิ่งนัก” ข้าพเจ้ากล่าวในเวลาตกใจว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นคนโกหก” ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระยาห์เวห์? สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์ ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์ ความตายของผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ สำคัญในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นบุตรชายของหญิงคนใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงถอดโซ่ตรวนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระองค์ และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์ ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์ ในบริเวณพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม สรรเสริญพระยาห์เวห์
ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ให้อิสราเอลกล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ให้วงศ์วานอาโรนกล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ให้บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์กล่าวเถิดว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ข้าพเจ้า ได้ร้องทูลพระยาห์เวห์จากความคับแค้นใจ พระยาห์เวห์ทรงตอบข้าพเจ้าโดยประทานความโล่งใจให้ เมื่อพระยาห์เวห์ทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า? พระยาห์เวห์ทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้าเพื่อช่วยข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจะมองเห็นคนที่เกลียดข้าพเจ้าแพ้ เข้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์ ก็ดีกว่า วางใจในมนุษย์ เข้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์ ก็ดีกว่า วางใจในเจ้านาย ประชาชาติทั้งสิ้นได้ล้อมข้าพเจ้า แต่โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้า ได้ล้อมข้าพเจ้าทุกด้าน แต่โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา เขาทั้งหลายได้ล้อมข้าพเจ้าเหมือนฝูงผึ้ง พวกเขามอดดับไป เหมือนไฟไหม้หนาม โดยพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าห้ำหั่นพวกเขา ข้าพเจ้าถูกผลักอย่างแรง ข้าพเจ้ากำลังจะล้ม แต่พระยาห์เวห์ทรงช่วยข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า มีเสียงยินดีและไชโย อยู่ในเต็นท์ของผู้ชอบธรรมว่า “พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์ห้าวหาญนัก พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์เป็นที่เชิดชู พระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์ห้าวหาญนัก” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย แต่ข้าพเจ้าจะเป็นอยู่ และประกาศพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงตีสอนข้าพเจ้าอย่างหนัก แต่พระองค์ไม่ทรงมอบข้าพเจ้าไว้กับความตาย ขอเปิดประตูความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าประตูนั้น ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระยาห์เวห์ นี่คือประตูของพระยาห์เวห์ คนชอบธรรมจะเข้าไปทางนี้ ข้าพระองค์ จะขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ และทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว การนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์ เป็นสิ่งอัศจรรย์ในสายตาเรา วันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้าง ให้เราเปรมปรีดิ์และยินดีในวันนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอดเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์ จงได้รับพระพร เราอวยพรพวกท่านจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และพระองค์ประทานความสว่างแก่เรา จงเริ่มเทศกาลเลี้ยงด้วยกิ่งไม้ ไปถึงเชิงงอนของแท่นบูชา พระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ -สดุดี 113-118
ผู้นำทำ:
เทไวน์แก้วที่ 4
ผู้นำอธิษฐาน:
בָּרוּךְ אַתָּה יְ‑יָ אֱ‑לֹהֵינוּ מֶלֶךְ הָעוֹלָם בּוֹרֵא פְּרִי הַגָּפֶן
บารูค อทา อาโดไน เอโลหีนู เมเลค หา โอลาม บอรี พรี หากาเฟน
สาธุการแด่พระองค์ พระเจ้าของเรา กษัตริย์แห่งจักรวาล ผู้ทรงสร้างผลของเถาองุ่น
ทุกคนทำด้วยกัน:
ทุกคนก็ดื่มด้วยกัน
ผู้นำพูด:
ผู้นำสรุปโดยเตือนทุกคนว่างานเลี้ยงคืนนี้เตือนใจถึงการช่วยให้รอดของพระเจ้าต่อเรา ไม่เพียงแต่จากการเป็นทาสในอียิปต์เท่านั้น แต่จากบาปและความตาย ซึ่ความตายเป็นสิ่งที่เราสมควรได้รับเพราะบาปของเรา เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซู เหมือนที่ชาวอิสราเอลได้รับความรอดพานทางเลือดของลูกแกะในเทศกาลปัสกาครั้งแรก
ทุกคนพูดเสียงดังพร้อมกัน:
สุขสันต์วันปัสกา ขอให้เราไม่ลืมความรอดของพระเจ้า!