• The Sin and Judgement of Mankind •
มนุษย์เป็นแบบไหน? พระเจ้าที่บริสุทธิ์สมควรทำอย่างไรบ้าง?
เลือกดาวน์โหลด... ซ้ายมือสำหรับทำรูปแบบหนังสือ ขวามือสำหรับรูปแบบมือถือหรือแผ่นใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ
Choose a download... left for booklet, right for digital or other use.
ภาษาไทย
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
The Gospel of Jesus Christ
The Gospel of Jesus Christ
ลักษณะของพระเจ้า
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะทอดพระเนตรการชั่ว จะทรงมองดูความบาปก็ไม่ได้ ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ และทรงเงียบอยู่เมื่อคนอธรรมกลืน คนที่ชอบธรรมกว่าตัวเขาเสีย? -ฮาบากุก 1:13
แต่บาปชั่วของพวกท่านได้ทำให้เกิดการแยก ระหว่างพวกท่านกับพระเจ้าของท่าน และบาปของพวกท่านได้บดบังพระพักตร์พระองค์เสียจากท่าน และจากการที่พระองค์จะทรงฟัง -อิสยาห์ 59:2
ความยุติธรรมของพระเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์ทรงชอบธรรมจึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม คนเที่ยงตรงจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ -สดุดี 11:7
เราจะทำให้มันเป็นที่ร้าง จะไม่มีใครลิดแขนงหรือพรวนดิน หนามย่อยหนามใหญ่ก็จะงอกขึ้น และเราจะบัญชาเมฆ ไม่ให้โปรยฝนรดมัน -อิสยาห์ 5:6
พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม และทรงลงโทษคนอธรรม ทุกวัน ถ้าคนไม่กลับใจ พระองค์จะทรงลับดาบของพระองค์ให้คม พระองค์ทรงโก่งธนูเตรียมพร้อม -สดุดี 7:11-12
ความอธรรมของมนุษย์และการพิพากษามนุษยชาติ
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า -โรม 3:23
ข้าพระองค์ทุกคนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน และความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงเหมือนใบไม้ และความผิดบาปของพวกข้าพระองค์พัดพาพวกข้าพระองค์ไปเหมือนลม -อิสยาห์ 64:6
เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง” -กาลาเทีย 3:10
ปัญหาใหญ่โต
บุคคลที่ตัดสินว่าคนอธรรมไม่มีความผิดและบุคคลที่ลงโทษคนชอบธรรม ทั้งสองก็เป็นที่เกลียดชังต่อพระยาห์เวห์ -สุภาษิต 17:15
ขอพระองค์อย่าทรงคิดทำเช่นนี้เลย อย่าทรงคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่ทรงทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ?” -ปฐมกาล 18:25
การจัดการของพระเจ้า
พระคัมภีร์ได้ยืนยันความบริสุทธิ์และความยุติธรรมของพระเจ้าแต่ในขณะเดียวกันได้ยืนยันว่าพระเจ้าเป็นความรัก และความรักของพระเจ้าได้โต้ตอบปัญหาของมนุษยชาติ
แรงบันดาลใจจากความรัก
ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราโดยข้อนี้ คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา -1 ยอห์น 4:8-10
ไม้กางเขนของพระคริสต์
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย -โรม 3:23-26
การฟื้นขึ้นจากความตาย
คือพระเยซูผู้ทรงถูกมอบให้ถึงความตาย เพราะการล่วงละเมิดของเรา คือผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม -โรม 4:25
การตอบสนองของมนุษย์
การกลับใจใหม่เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าสิ่งที่พระเจ้าได้พูดเกี่ยวกับพวกเราเป็นความจริง คือว่าพวกเราได้ทำบาป
เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้น และได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์ ดังนั้น พระองค์ทรงชอบธรรมในการพิพากษา และไร้ตำหนิในการตัดสินนั้น -สดุดี 51:3-4
การยอมรับที่เที่ยงแท้ของการเป็นคนบาปและความผิดบาปของพวกเราจะนำเราไปถึงความโศกเศร้า ความเสียใจ และความอับอาย รวมถึงการเกลียดสิ่งที่พวกเราได้ทำมาแล้ว
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ -โรม 7:15, 24
การสารภาพหรือการยอมรับที่ดูเหมือนจริงใจ ไม่เคยพอที่จะเป็นหลักฐานของการกลับใจใหม่ที่เที่ยงแท้ของมันเอง จำเป็นต้องคู่กับการหันหนีจากความบาป
ตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงศีรษะ ไม่มีตรงไหนปรกติเลย ล้วนแต่ฟกช้ำและเป็นรอยเฆี่ยน ทั้งยังเป็นแผลเลือดไหล ไม่ได้บีบออกหรือพันไว้ หรือบรรเทาปวด ด้วยน้ำมัน -อิสยาห์ 1:6
บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ -มัทธิว 3:10
การตีความความเชื่อ
ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น -ฮีบรู 11:1
ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งที่ทรงสัญญาได้ -โรม 4:21
ความเชื่อมีต้นกำเนิดในพระสัญญาของพระเจ้า
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านและครอบครัวจะได้รับความรอด” -กิจการ 16:31
ตัวอย่างของผู้เชื่อ
เพราะว่าเราต่างหากที่เป็นพวกเข้าสุหนัต เป็นพวกที่นมัสการโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อวดพระเยซูคริสต์ และไม่ไว้ใจในเนื้อหนัง ฟีลิปปี 3:3
รากของความมั่นใจที่เที่ยงแท้
การเกิดใหม่ที่เที่ยงแท้: คริสเตียนแท้ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเขาก็จะใช้ชีวิตในแบบที่สะท้อนการทำงานการสร้างใหม่ของพระเจ้าในชีวิตของเขา
ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น -2 โครินธ์ 5:17
“อย่าให้ของบริสุทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกรงว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดพวกท่านด้วย -มัทธิว 7:6
ความมั่นใจมีรากในการ พิจารณาตัวเองภายใต้ความสว่างของพระคัมภีร์
จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง พวกท่านไม่ตระหนักว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายหรือ? นอกจากพวกท่านไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ -2 โครินธ์ 13:5
คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูทรงหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น -ยอห์น 5:13
การทดสอบความมั่นใจที่ตรงกับพระคัมภีร์
นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น -1 ยอห์น 1:5-7 (การเดินในความสว่าง)
ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย -1 ยอห์น 1:7-10 (การสารภาพบาป)
ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย -1 ยอห์น 2:3-4 (การเชื่อฟัง)
ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืดและไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว -1 ยอห์น 2:9-11 (การรักพี่น้อง)
อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ -1 ยอห์น 2:15-17 (การเกลียดชังโลก)
ท่านทั้งหลาย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าสิ่งที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านก็จะอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย นี่แหละเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์ -1 ยอห์น 2:24-25 (ความอดทนในการดำเนินอยู่ในหลักคำสอนที่ถูกต้อง)
เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า -1 ยอห์น 3:10 (ความชอบธรรม),
เช่นนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา
1 ยอห์น 4:13 (พยานของพระวิญญาณ)
และท่านได้ลืมคำเตือนที่พระองค์ทรงเตือนพวกท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตักเตือน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับใครเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีคนนั้น” ท่านทั้งหลายจงสู้ทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตรของพระองค์ เพราะว่ามีบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่ตีสอน? แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ใช่บุตร แต่เป็นลูกนอกกฎหมาย -ฮีบรู 12:5-8 (ได้รับการตีสอนจากพระเจ้าคือความยากลำบากต่างๆ)
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะทอดพระเนตรการชั่ว จะทรงมองดูความบาปก็ไม่ได้ ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ และทรงเงียบอยู่เมื่อคนอธรรมกลืน คนที่ชอบธรรมกว่าตัวเขาเสีย? -ฮาบากุก 1:13
แต่บาปชั่วของพวกท่านได้ทำให้เกิดการแยก ระหว่างพวกท่านกับพระเจ้าของท่าน และบาปของพวกท่านได้บดบังพระพักตร์พระองค์เสียจากท่าน และจากการที่พระองค์จะทรงฟัง -อิสยาห์ 59:2
ความยุติธรรมของพระเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์ทรงชอบธรรมจึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม คนเที่ยงตรงจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ -สดุดี 11:7
เราจะทำให้มันเป็นที่ร้าง จะไม่มีใครลิดแขนงหรือพรวนดิน หนามย่อยหนามใหญ่ก็จะงอกขึ้น และเราจะบัญชาเมฆ ไม่ให้โปรยฝนรดมัน -อิสยาห์ 5:6
พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม และทรงลงโทษคนอธรรม ทุกวัน ถ้าคนไม่กลับใจ พระองค์จะทรงลับดาบของพระองค์ให้คม พระองค์ทรงโก่งธนูเตรียมพร้อม -สดุดี 7:11-12
ความอธรรมของมนุษย์และการพิพากษามนุษยชาติ
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า -โรม 3:23
ข้าพระองค์ทุกคนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน และความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงเหมือนใบไม้ และความผิดบาปของพวกข้าพระองค์พัดพาพวกข้าพระองค์ไปเหมือนลม -อิสยาห์ 64:6
เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง” -กาลาเทีย 3:10
ปัญหาใหญ่โต
บุคคลที่ตัดสินว่าคนอธรรมไม่มีความผิดและบุคคลที่ลงโทษคนชอบธรรม ทั้งสองก็เป็นที่เกลียดชังต่อพระยาห์เวห์ -สุภาษิต 17:15
ขอพระองค์อย่าทรงคิดทำเช่นนี้เลย อย่าทรงคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่ทรงทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ?” -ปฐมกาล 18:25
การจัดการของพระเจ้า
พระคัมภีร์ได้ยืนยันความบริสุทธิ์และความยุติธรรมของพระเจ้าแต่ในขณะเดียวกันได้ยืนยันว่าพระเจ้าเป็นความรัก และความรักของพระเจ้าได้โต้ตอบปัญหาของมนุษยชาติ
แรงบันดาลใจจากความรัก
ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราโดยข้อนี้ คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา -1 ยอห์น 4:8-10
ไม้กางเขนของพระคริสต์
เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย -โรม 3:23-26
การฟื้นขึ้นจากความตาย
คือพระเยซูผู้ทรงถูกมอบให้ถึงความตาย เพราะการล่วงละเมิดของเรา คือผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม -โรม 4:25
การตอบสนองของมนุษย์
การกลับใจใหม่เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าสิ่งที่พระเจ้าได้พูดเกี่ยวกับพวกเราเป็นความจริง คือว่าพวกเราได้ทำบาป
เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้น และได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์ ดังนั้น พระองค์ทรงชอบธรรมในการพิพากษา และไร้ตำหนิในการตัดสินนั้น -สดุดี 51:3-4
การยอมรับที่เที่ยงแท้ของการเป็นคนบาปและความผิดบาปของพวกเราจะนำเราไปถึงความโศกเศร้า ความเสียใจ และความอับอาย รวมถึงการเกลียดสิ่งที่พวกเราได้ทำมาแล้ว
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ -โรม 7:15, 24
การสารภาพหรือการยอมรับที่ดูเหมือนจริงใจ ไม่เคยพอที่จะเป็นหลักฐานของการกลับใจใหม่ที่เที่ยงแท้ของมันเอง จำเป็นต้องคู่กับการหันหนีจากความบาป
ตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงศีรษะ ไม่มีตรงไหนปรกติเลย ล้วนแต่ฟกช้ำและเป็นรอยเฆี่ยน ทั้งยังเป็นแผลเลือดไหล ไม่ได้บีบออกหรือพันไว้ หรือบรรเทาปวด ด้วยน้ำมัน -อิสยาห์ 1:6
บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ -มัทธิว 3:10
การตีความความเชื่อ
ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น -ฮีบรู 11:1
ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งที่ทรงสัญญาได้ -โรม 4:21
ความเชื่อมีต้นกำเนิดในพระสัญญาของพระเจ้า
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านและครอบครัวจะได้รับความรอด” -กิจการ 16:31
ตัวอย่างของผู้เชื่อ
เพราะว่าเราต่างหากที่เป็นพวกเข้าสุหนัต เป็นพวกที่นมัสการโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อวดพระเยซูคริสต์ และไม่ไว้ใจในเนื้อหนัง ฟีลิปปี 3:3
รากของความมั่นใจที่เที่ยงแท้
การเกิดใหม่ที่เที่ยงแท้: คริสเตียนแท้ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และเขาก็จะใช้ชีวิตในแบบที่สะท้อนการทำงานการสร้างใหม่ของพระเจ้าในชีวิตของเขา
ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น -2 โครินธ์ 5:17
“อย่าให้ของบริสุทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกรงว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดพวกท่านด้วย -มัทธิว 7:6
ความมั่นใจมีรากในการ พิจารณาตัวเองภายใต้ความสว่างของพระคัมภีร์
จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง พวกท่านไม่ตระหนักว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายหรือ? นอกจากพวกท่านไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ -2 โครินธ์ 13:5
คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูทรงหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น -ยอห์น 5:13
การทดสอบความมั่นใจที่ตรงกับพระคัมภีร์
นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น -1 ยอห์น 1:5-7 (การเดินในความสว่าง)
ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย -1 ยอห์น 1:7-10 (การสารภาพบาป)
ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย -1 ยอห์น 2:3-4 (การเชื่อฟัง)
ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืดและไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว -1 ยอห์น 2:9-11 (การรักพี่น้อง)
อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ -1 ยอห์น 2:15-17 (การเกลียดชังโลก)
ท่านทั้งหลาย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าสิ่งที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านก็จะอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย นี่แหละเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์ -1 ยอห์น 2:24-25 (ความอดทนในการดำเนินอยู่ในหลักคำสอนที่ถูกต้อง)
เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า -1 ยอห์น 3:10 (ความชอบธรรม),
เช่นนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา
1 ยอห์น 4:13 (พยานของพระวิญญาณ)
และท่านได้ลืมคำเตือนที่พระองค์ทรงเตือนพวกท่านในฐานะที่เป็นบุตรว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตักเตือน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับใครเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีคนนั้น” ท่านทั้งหลายจงสู้ทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตรของพระองค์ เพราะว่ามีบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่ตีสอน? แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ใช่บุตร แต่เป็นลูกนอกกฎหมาย -ฮีบรู 12:5-8 (ได้รับการตีสอนจากพระเจ้าคือความยากลำบากต่างๆ)