เลือกดาวน์โหลด... ซ้ายมือสำหรับทำรูปแบบหนังสือ ขวามือสำหรับรูปแบบมือถือหรือแผ่นใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ
Choose a download... left for booklet, right for digital or other use.
ภาษาไทย
พระเจ้ามีจริง
God is real.
God is real.
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
คำว่าวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นคำที่น่ากลัวถ้าเราจะพูดถึงศาสนาและความเชื่อ แต่ในความเป็นจริงวิทยาศาสตร์พูดถึงการศึกษาโลกวัตถุ เพราะฉะนั้นถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่าง สิ่งที่พระเจ้าสร้างน่าจะแสดงหลักฐานถึงพระเจ้าพระผู้สร้าง
อย่างไรก็ตามหลักฐานวิทยาศาสตร์สำหรับพระเจ้า ก็จะมีจำกัดเพราะว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณและดำรงอยู่นอกโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถสร้างการทดลองเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า
แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า เราสามารถยืนยันได้ว่าโลกวัตถุนี้ ได้มีการเริ่มต้น ทั้งเวลา เนื้อที่และวัตถุมีการเริ่มต้นและมีเวลาในอดีตที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่มี และเพราะสิ่งเหล่านี้ก็ต้องยอมรับว่ามีอะไรนอกจากโลกวัตถุนี้ ที่ได้ทำให้จักรวาลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทฤษฎีบิ๊กแบง ได้ยืนยันว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณด้วย (เพื่อการโต้แย้งฉันจะบอกว่า สิ่งที่อยู่นอกโลกวัตถุนี้เป็นโลกวิญญาณ เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้)
บิ๊กแบง-
ในปี ค.ศ. 1929 Edwin hubble ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เจอว่าจักรวาลนี้กำลังขยายไปข้างนอก และได้เจอว่ามีกาแล็กซี่อื่นนอกจากทางช้างเผือก (milkyway) ของเรา และเขาได้เจอว่าดาวที่ไกลที่สุดจากโลกขยายออกไปเร็วกว่าดาวที่อยู่ใกล้ การค้นพบแรกในที่นี้มีความสำคัญทางศาสนศาสตร์ ถ้าจักรวาลกำลังขยายออกไป ก็ต้องมีจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจในครั้งแรกที่ได้เจอ เพราะว่าก่อนที่ Edwin hubble นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากก็เข้าใจว่าจักรวาลมีอยู่ตลอดและไม่มีจุดเริ่มต้น (แม้แต่เขาเข้าใจว่าชีวิตมีการเริ่มต้น แต่จักรวาลมีอยู่ตลอดในความเข้าใจของเขา) การที่เจอว่าจักรวาลนี้มีสิ้นสุดมีทั้งจุดเริ่มต้นและวันสุดท้ายเป็นการสนับสนุน หลักข้อเชื่อของคริสเตียน "เอ็กซ์นีลีโอ" ซึ่งแปลว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างจากความว่างเปล่า
The law of conservation of mass- "… ไม่มีอะไรใหม่สามารถเกิดขึ้นได้และไม่มีอะไรจะสามารถจบสิ้นไปเช่นเดียวกัน …. ซึ่งจะต้องหมายความว่า ความเข้าใจถึงบิ๊กแบงของผู้ที่บอกว่ามีวัตถุเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นความเข้าใจที่ผิดมากและไร้สาระ ในขณะที่เรารู้ว่าจักรวาลมีการเริ่มต้นและทุกอย่างที่เป็นวัตถุได้มีการเริ่มต้น ก็ต้องมีสาเหตุที่อาศัยอยู่ข้างนอกโลกวัตถุ (คือจักรวาลของเรา) ที่ทำให้จักรวาลของเราได้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ถ้าจักรวาลของเราถูกสร้างโดยโลกวิญญาณ (โลกวิญญาณหมายความว่าทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกโลกวัตถุ) มีความเป็นไปได้สูงว่า มีบุคคลที่เป็นวิญญาณหลายๆผู้ (คือถ้าโลกวิญญาณเป็นเหมือนโลกวัตถุ ก็คงเป็นอย่างนั้น) และถ้าวิญญาณต่างๆทุกสร้างเช่นเดียวกัน ก็ต้องมีวิญญาณแรกที่สร้างวิญญาณอื่น (รวมถึงสิ่งของต่างๆที่เป็นวิญญาณ) วิญญาณแรกที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง คือพระเจ้าพระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีที่สิ้นสุดในฤทธานุภาพ พระองค์รู้ทุกอย่าง พระองค์อาศัยอยู่นอกเวลา ถึงพระองค์บอกว่า "เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน” (วิวรณ์ 22:13) และอาศัยอยู่ทุกที่เวลาเดียวกัน (สดุดี 139:7-10) ลักษณะของโลกวิญญาณและลักษณะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราจะไม่รู้นอกจากว่าได้ปรากฏให้เราเห็น ลักษณะของพระเจ้าได้ปรากฏให้เราเห็นผ่านทาง ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง พระวจนะ (คือพระคัมภีร์) และพระวาทะ (พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์)
เหตุผลเชิงจักรวาลวิทยา (Kalams cosmilogical argument)-
1. สิ่งใดก็ตามที่มีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่มีต้นเหตุ
2. จักรวาลนั้นมีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีต้นเหตุให้ดำรงอยู่
ข้อพระคัมภีร์บางข้อเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์:
เพราะนี่แน่ะ คนอธรรมโก่งธนู และเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว เพื่อจะยิงในความมืดให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม -สดุดี 11:2
ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คือการค้นสิ่งนั้นให้ปรากฏ -สุภาษิต 25:2
...พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น -ฮีบรู 11:3
ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป -โรม 1:20-21
2. เหตุผลทางประวัติศาสตร์:
ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
โบราณคดีเป็นการศึกษา ของโบราณ อนุสาวรีย์ อุโมงค์ และเครื่องมือโบราณต่างๆของ อารยธรรมโบราณต่างๆ ทั้งคนและเหตุการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักเพราะบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เท่านั้น ก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงเวลา ขุดค้นเมืองโบราณ อย่างสม่ำเสมอพระคัมภีร์ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ขอให้เราดูตัวอย่างบางอย่างด้วยกัน:
องุ่นในอียิปต์:
ในปฐมกาลบทที่ 40 พระคัมภีร์บอกว่า โยเซฟได้แปลฝันของพ่อบ้านของฟาโรห์ ในฝันของเขาได้พูดถึงองุ่น แต่นักประวัติศาสตร์ของสมัยโบราณ เหโรโดทัส ได้บอกว่า ชาวอียิปต์ไม่ได้ปลูกองุ่น และก็ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น ซึ่งทำให้บางคนสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในข้อนี้ แต่พอนักโบราณคดีได้เจอรูปวาดในอุโมงค์ของอียิปต์ เป็นรูปการตัดแต่งกิ่ง และการปลูกเถาองุ่น รวมถึงระบบการผลิตน้ำองุ่น มีรูปภาพคนเมาอีกด้วย ตอนนี้ไม่มีความสงสัยเลยว่า เหโรโดทัส คิดผิดและพระคัมภีร์ถูก
อิฐของปิธม
ในอพยพ 1:11 พระคัมภีร์บอกว่า ชนชาติอิสราเอลได้สร้างเมืองสมบัติ ปิธมและเมืองราเมเสสสำหรับฟาโรห์ ในปฐมกาลบทที่ 5 พระคัมภีร์บอกว่า ต้องผลิตอิฐด้วยฟางในช่วงแรกและหลังจากนั้นใช้ตอข้าวมาแทนฟาง เพราะว่าอียิปต์ไม่ให้ใช้เพื่อจุดประสงค์นั้น ในปี ค.ส. 1883 Naville, และในปี ค.ส. 1908, kyle, ได้เจอที่ ปิธม ซึ่งเป็นเมืองนึงที่ได้ถูกสร้างโดยอิสราเอล อิฐในบริเวณต่ำๆของบ้านผลิตโดยใช้ฟาง ส่วนตรงกลางใช้ฟางน้อยกว่าเดิมรวมกับตอข้าว และชั้นบนสุดผลิตด้วยดินเหนียวเปล่าๆ เป็นเรื่องที่ยากที่จะไม่ประหลาดใจในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในเหตุการณ์นี้
ชาวฮิตไทต์
พระคัมภีร์ได้พูดถึงชาวฮิตไทต์ 48 ครั้ง เราเห็นชาวฮิตไทต์กำลังขวางทางในเวลาที่ชาวอิสราเอลพยายามเข้าแผ่นดินแห่งพระสัญญา เราอ่านเกี่ยวกับอุรียาห์คนฮิตไทต์ซึ่งเป็นคนที่กษัตริย์ดาวิดส่งไปถึงความตาย อย่างไรก็ตาม ในการบันทึกโบราณวัตถุทั้งหมดไม่มีการอ้างถึงชาวฮิตไทต์สักครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่สงสัยก็จะบอกว่าพระคัมภีร์แต่งเรื่องขึ้นมาเอง แต่ในปี ค.ส. 1876 Goerge smith ได้เริ่มที่จะศึกษาอนุสาวรีย์ของสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เจราบีในเอเชียไมเนอร์ ที่แห่งนี้เป็นเมือง old carchemish ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ ฮัตติโบราณ ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ฮัตติ ก็เป็นชาวฮิตไทต์ที่ได้พูดถึงในพระคัมภีร์ ซึ่ง ศ.เอ.เอช.เซย์เซ ได้บอกว่า "เปรียบเทียบกับอาณาจักรอียิปต์และอัสซีเรียได้เลย" ในที่สุดโบราณคดีได้พิสูจน์ว่า ชาวฮิตไทต์มีจริง แต่ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆในสมัยโบราณ
ซาร์กอน:
ใน อิสยาห์ 20:1 เราอ่านว่า "ในปีที่ผู้บัญชาการใหญ่ซึ่งถูกส่งมาจากซาร์กอน พระราชาของอัสซีเรียได้มาถึงเมืองอัชโดดและต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้" อันนี้ก็เป็นครั้งเดียวในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงกษัตริย์ ซาร์กอน และเป็นครั้งเดียวที่ได้พูดถึงในวรรณกรรมโบราณ เพราะฉะนั้นมีหลายคนสงสัยว่ามีจริงๆไหม แต่ในปี ค.ส. 1842-1845 พี.อี.บอทต้า ได้เปิดเผยราชวังของกษัตริย์ซาร์กอน ระหว่างสิ่งต่างๆที่ได้เจอในเวลานั้น ก็มีการบันทึก การยึดเมืองอัชโดดที่อิสยาห์ได้พูดถึง เป็นอีกหนึ่งครั้งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างถูกต้องแต่ผู้ที่สงสัยคิดผิด
น้ำท่วมโลก
ในปฐมกาลบทที่ 7 และ 8 ได้พูดถึงการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมใหญ่ สำหรับหลายคนเขาคิดว่าการที่น้ำท่วมใหญ่นี้เป็นเหมือนนิทาน แต่มีหลักฐานค่อนข้างมากที่มาจากข้างนอกพระคัมภีร์ที่ได้สนับสนุนเรื่องที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ จงสังเกตดูเรื่องเล่าเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกของมนุษย์โบราณหลายๆชนชาติ มีนักโบราณคดีคนหนึ่งบอกว่ามีเรื่องเล่าอย่างนี้ยังน้อย 88 ครั้ง ของหลายๆกลุ่ม เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยกันว่า มีการทำลายโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยการที่น้ำท่วมใหญ่ เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยว่าเรือเป็นหนทางที่ได้รอดจากน้ำท่วม เกือบทุกเรื่องพูดถึงการที่มนุษย์ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการมีลูก หลายเรื่องเหล่านี้ก็พูดถึงความชั่วของมนุษย์ที่ได้ทำให้น้ำท่วมเกิดขึ้น และบางเรื่องขอใช้ชื่อโนอาด้วย บางเรื่องก็พูดถึงนกที่ได้ส่งออกไปและได้พูดถึงการถวายบูชาถวายให้เทพเจ้าต่างๆเวลาได้รับความรอดจากน้ำท่วม สำหรับใครที่เคยได้ยินเรื่องน้ำท่วมโลกเขาก็จะประหลาดใจในความคล้ายกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ความคล้ายและจำนวนชนชาติที่ได้เล่าเรื่องนี้ต่อๆกันไปตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการสนับสนุนเรื่องที่ได้บันทึกไว้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ใครบางคนนั้นจินตนาการไปเอง
ในปี ค.ส. 1872 Goerge smith ได้เจอ แผ่นศิลาน้ำท่วมของบาบิโลน ตอนนี้มีชื่อเสียงแล้ว ในแผ่นศิลานี้ มีคนๆหนึ่งที่สร้างเรือและเอาสัตว์ทุกชนิดขึ้นไปบนเรือ ซึ่งได้รับคำสั่งเรื่องขนาดเรือที่มีความเฉพาะเจาะจง และได้รับคำสั่งว่าต้องใช้น้ำมันดินเพื่ออุดรู เขาเอาทั้งครอบครัวขึ้นไปบนเรือพร้อมกับอาหาร มีพายุที่หนักมากซึ่งเป็นเวลา 6 วัน เรือได้ลงบนภูเขาที่ชื่อ ภูเขานาซีร์ เขาส่งนกพิราบออกไปและมันก็ได้บินกลับมา เขาส่งนกนางแอ่นออกไป มันก็กลับมาเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาส่งนกกาออกไปและมันก็บินมาบินไปอยู่บนโลก หลังจากที่ปลอดภัยได้ออกจากเรือแล้วพวกเขาได้ถวายบูชาเทพเจ้าของเขา จริงๆแล้วเรื่องนี้ตรงกับพระคัมภีร์บางอย่าง แต่ก็มีความคล้ายค่อนข้างมาก พอที่จะทำให้สงสัย ตั้งคำถามถึงประวัติศาสตร์ของน้ำท่วมนี้
มากกว่านั้น นักโบราณคดีได้เจอหลักฐานโครงการน้ำท่วมใหญ่ในเมืองโบราณต่างๆ ที่เมืองซูซ่าในอียิปต์ มีชั้นดินหนาประมาณ 2 เมตร ระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ของเมืองซูซ่าโบราณ อันนี้ก็เป็นหลักฐานว่าเมืองซูซ่าโดนทำลายด้วยน้ำท่วมที่ใหญ่มาก ที่เมือง เออร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอับราฮัม เขาได้เจอชั้นดินเหนียวหนาประมาณ 3 เมตร ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเมือง เออร์ ได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมเป็นขนาดใหญ่พอๆกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีหลักฐานเยอะแยะมากมายแต่ ที่พูดถึงตอนนี้ก็คงจะพอที่จะให้เห็นว่าน้ำท่วมโลกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้เกิดขึ้นจริง
เยรีโค:
โยชูวา 6 ได้อธิบายว่า อิสราเอลได้พิชิตเมืองเยรีโค ซึ่งมีกำแพงใหญ่รอบเมือง ชาวอิสราเอลได้เดินรอบเมือง 1 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 วัน ในวันที่ 7 เดินรอบเมืองกี่ครั้ง หลังจากนั้นพวกปุโรหิตเป่าแตร และชาวอิสราเอลร้องด้วยเสียงดัง เวลาทำเช่นนี้ "กำแพงก็พังลงราบ" (โยชูวา 6:20) ชาวอิสราเอลรีบเข้าและเผาเมือง เขาไม่ได้เอาอะไรเป็นของตัวเอง เขาช่วย ราหับ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านติดกำแพง ซึ่งเป็นคนที่เคยช่วยเขาเมื่อก่อนหน้านี้
เริ่มต้นในปี ค.ส. 1929 ดร.จอห์น การ์สแตง ขุดซากปรักหักพังของเมืองเยริโคโบราณ สิ่งที่เขาได้เจอตรงกับที่อ่านในพระคัมภีร์มาก เขาเจอว่าเยรีโค มีกำแพง 2 ชั้น ด้วยมีบ้านสร้างระหว่าง 2 ชั้นนั้นซึ่งตรงกับที่อ่านเกี่ยวกับราหับ ว่าบ้านอยู่ในกำแพง และเขาได้พบว่ากำแพงได้พังลงมาเหมือนแผ่นดินไหวและไม่ได้ลงข้างในแต่ลงไปทางด้านนอก เหมือนที่พระคัมภีร์บอก "กำแพงก็พังลงราบ" ถ้าสมมุติว่าใช้ไม้ทุบตี กำแพงก็จะพังลงมาด้านในแทนที่จะพังออกมาทางด้านนอก มากกว่านั้นคือเขาพบหลักฐานว่าทั้งเมืองโดนเผา โบราณคดีได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สำเร็จราชการชื่อเสอร์จีอัส เปาลุส:
ในกิจการ 13:7 พระคัมภีร์ได้พูดถึง เสอร์จีอัส เปาลุส ผู้สำเร็จราชการของไซปรัส เป็นช่วงเวลายาวนานที่ผู้ที่คลางแครงจะยืนยันว่าลูกาควรจะเรียกเขาว่า propraetor แทน ผู้สำเร็จราชการ เพราะว่าอันนี้เป็นตำแหน่งที่ปกติ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีได้เจอเหรียญที่ไซปรัส ที่ยืนยันอย่างแน่นอนว่า governors ของไซปรัส ก็เป็น ผู้สำเร็จราชการ มีเหรียญอันนึงที่ได้เจอที่ soli ที่ ไซปรัส มีจารึกไว้ว่า "ผู้สำเร็จราชการ เปาลุส" ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังอ้างถึงคนๆเดียวกัน
การยืนยันของบุคคลนอกพระคัมภีร์ เช่น มีนักประวัติศาสตร์ชาวยิวของสมัยพระเยซู ชื่อ Josephus ซึ่งได้เขียนบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ยกตัวอย่าง: ในมัทธิว 14:3-4 "เฮโรดทรงจับยอห์นล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ชายาของฟีลิปพระอนุชาของพระองค์ เพราะยอห์นเคยทูลพระองค์ว่า “พระองค์ไม่มีสิทธิ์รับนางนั้นมาเป็นพระชายา" Josephus ได้ช่วยอธิบายว่าทำไมถึงผิดกฎหมาย คือตอนแรก เฮโรเดียส ได้แต่งงานกับ น้องชายเฮโรด ที่ชื่อ ฟีลิป แต่ผู้หญิงเลิกกับฟีลิป เพื่อจะแต่งกับเฮโรด คือการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามกฎบัญญัติ เป็นเหตุผลที่ยอห์นได้แก้ไขเฮโรด ในที่นี่เรื่องที่ Josephus เล่าให้เราฟัง ตรงกับพระคัมภีร์อย่างแม่นยำ มีเรื่องที่บันทึกในพระคัมภีร์ที่ได้ถูกยืนยันความถูกต้องจากบุคคลนอกพระคัมภีร์
(แปลจาก: http://www.lavistachurchofchrist.org/LVarticles/HistoricalAccuracyOfTheBible.htm)
ความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์ เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
มีเหตุผลเยอะแยะมากมายที่ทำให้หลายคนสงสัยถึงความถูกต้องของพระคัมภีร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า พระคัมภีร์ไม่มีข้อเท็จจริงที่ยืนยันความรู้ของเราเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงพระคัมภีร์มีเยอะ พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์ก็กล่าวได้อย่างถูกต้อง ในความเป็นจริง มีหลายครั้งที่พระคัมภีร์สนับสนุนแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับงานเขียนอื่นๆในสมัยนั้น ขอให้เราดูตาม :
รูปทรงดวงโลก:
คือพระองค์ประทับเหนือหลังคาโค้งของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางมันออกเหมือนเต็นท์สำหรับอาศัย -อิสยาห์ 40:22
ข้อนี้กำลังจะบอกว่าโลกเป็นทรงกลม แทนที่จะแบนแบบที่หลายคนคิดในสมัยนั้น
ดวงโลกลอยอยู่ในความว่างเปล่า:
พระองค์ทรงคลี่อุดร ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า -โยบ 26:7
ข้อนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าวัฒนธรรมอื่นในสมัยนั้น จะชอบบอกว่าโลกตั้งอยู่บนหลังสัตว์ คน หรือ เสา
ดวงดาวมีนับไม่ถ้วน:
พระองค์จึงพาอับรามออกมาข้างนอกแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้าสิ ถ้าเจ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไป” แล้วพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น” -ปฐมกาล 15:5
มีหุบเขาอยู่ใต้ทะเล:
และก้นทะเลก็ปรากฏ อีกทั้งรากของพิภพก็เผยโฉม ตามการกำราบของพระยาห์เวห์ ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์ -2 ซามูเอล 22:16
มีน้ำพุใต้ทะเล:
เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 600 ปี ในเดือนที่สองวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำพุใต้บาดาลที่ลึกมากทั้งหมดก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิด -ปฐมกาล 7:11 ดูที่ ปฐมกาล 8:2, สุภาษิต 8:28 ด้วย
กระแสน้ำในมหาสมุทร:
ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์ เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ พระองค์ทรงให้เขาปกครองผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าเขา ตลอดทั้งนกบนฟ้า ปลาในทะเล และสิ่งใดๆ ที่แหวกว่ายอยู่ตามทะเล -สดุดี 8:1, 3-3, 6, 8
วัฏจักรอุทกวิทยา:
พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆก็ไม่ปริออกเพราะน้ำนั้น -โยบ 26:8
เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป มันกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์ ซึ่งเมฆเทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม -โยบ 36:27-28
ความสง่างามทั้งสิ้น ได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน แล้ว พวกเจ้านายของเธอก็เป็นดุจฝูงกวาง ที่หาทุ่งหญ้าไม่พบ และหมดแรงหนี ต่อหน้าผู้ไล่ล่า ז (ซายิน) เยรูซาเล็มในยามทุกข์ยากและยามพลัดบ้าน ได้หวนระลึกถึง ของล้ำค่าทั้งสิ้น ที่ตนเคยมีในครั้งกระโน้น เธอระลึกได้เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในมือของคู่อริ และหามีผู้ใดจะสงเคราะห์เธอไม่ พวกคู่อริเห็นเธอแล้ว ก็เยาะเย้ยความล่มจมของเธอ ח (เฆท)
เพลงคร่ำครวญ 1:6-7
แนวคิดของเอนโทรปี:
(จากวิกิพีเดีย: เอนโทรปี (อังกฤษ: entropy) มาจากภาษากรีก εν (en) แปลว่าภายใน รวมกับ τρέπω (trepo) แปลว่า "หมุนกลับ กลับหลังหัน หรือ หนี" ถือเป็นหัวใจของกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพที่เกิดขึ้นเองทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ความแตกต่างของ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ แรงดัน ความหนาแน่น หรือค่าอื่น ๆ ในระบบค่อย ๆ น้อยลงจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งต่างจากกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึงการอนุรักษ์พลังงาน)
ในกาลก่อนพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป -สดุดี 102:25-26
ลักษณะสุขภาพที่ดี ความสะอาด และเชื้อโรค:
เรื่องนี้ก็ยาวเกินไปที่จะเขียนไว้แค่หน้านี้ แต่แนะนำให้ไปอ่าน เลวีนิติ 12-14
(แปลจาก: https://carm.org/the-bible/scientific-accuracies-of-the-bible/)
การพัฒนาและการประสบความสำเร็จของวัฒนธรรม จูดีโอ-คริสเตียน ทั้งสิ้น
เบื้องหลังการพัฒนาทางสังคมและความเจริญต่างๆ ที่ใหญ่ๆ คือการฟื้นฟูคริสเตียน ในที่นี้ก็จะพูดถึงบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากการฟื้นฟูคริสเตียน:
บางอย่างที่ถูกยกเลิกเพราะอิทธิพลของศาสนาคริสต์:
ในจักรวรรดิโรมัน:
ยุติการการทำแท้งและการทิ้งเด็กแรกเกิด (ในจักรวรรดิโรมัน ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องปกติที่จะทิ้งเด็กในป่าหรือบนภูเขาเพื่อให้สัตว์มากินโดยเฉพาะลูกสาวเพราะคิดว่าสำคัญน้อยกว่าผู้ชาย) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 3
ยุติการกิจกรรมผิดศีลธรรมทางเพศ (กิจกรรมทางเพศเสื่อมทรามอย่างมากในจักรวรรดิโรมัน การมีเพศสัมพันธ์หมู่เป็นเรื่องธรรมดา และการมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กชายและผู้หญิงถือเป็นทรัพย์สินก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ขยายไปทั่วอาณาจักรโรมัน) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 4
ยุติการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ (ชาวโรมันส่งเสริมการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ที่โหดร้าย ซึ่งมีทาสและอาชญากรที่ถูกประณามฆ่ากันเพื่อความสนุกสนาน) อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 5
ยุติการประเพณีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาต่าง ๆ ทั่วโลก:
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในประเทศไทยที่จะยุติการ ซึ่งจะมีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาในช่วงก่อตั้งเมืองใหม่ การถวายเครื่องบูชาซึ่งอาจจะเป็นหญิงมีครรภ์ถูกฝังไว้ใต้เสาหลักเมืองแห่งหนึ่ง (หลักเมือง) โดยเชื่อว่าวิญญาณจะปกป้องเมือง (เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของคนสมัยก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอนหรือไม่ แต่การที่พยานเป็นคนไทยทำให้มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง) - ศตวรรษที่ 19 อาณาจักรไทย
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในแอฟริกาที่จะยุติการ การฆ่าภรรยาและนางสนมเมื่อหัวหน้าเผ่าเสียชีวิตในแอฟริกา -ศตวรรษที่ 19 แอฟริกา
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในอินเดียที่จะยุติการ สุทัตในอินเดีย การเผาหญิงม่ายบนกองเพลิงศพของสามี -1829 ค.ศ. อินเดีย
อื่นๆ:
ยุติการการค้าขายทาส- ศตวรรษที่ 19
การไม่รู้หนังสือลดลงอย่างรวดเร็ว (อิทธิพลของคริสเตียนได้ส่งเสริมการรู้หนังสือในเกือบทุกประเทศบนโลกใบนี้ รวมประเทศไทยด้วย หนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ (Gutenberg press นำเข้าจากสิงคโปร์) ในประเทศไทยเป็นพระคัมภีร์ใบปลิวที่แปลและพิมพ์โดยมิชชันนารี มีให้ชมในพิพิธภัณฑ์ลอนดอนเท่านั้นเพราะประเทศไทยไม่ต้องการ) ศตวรรษที่ 19 ถึงปัจจุบัน
การลดประเพณีการกินเนื้อคน- ทั่วโลกในศตวรรษที่ 20 (เนื่องจากชนเผ่ามาติดต่อกับมิชชันนารี)
การฟื้นฟูและการเคลื่อนไหวคริสเตียนต่างๆที่ได้มีอิทธิพลในการพัฒนาสังคม:
(ค.ศ. 325) การประชุมสภาไนเซียครั้งแรกเป็นการประชุมของผู้นำคริสเตียนใน ค.ศ. 325 ซึ่งนำไปสู่การรวมให้มีใจเดียวกันของศาสนาคริสต์ทั่วโลก รวมถึงการประณามลัทธินอกรีตและคำสอนที่ผิดพลาดต่างๆ น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่ชาติหลายชาติรวมกันด้วยความเชื่อเดียวกันยังนานาชาติจริงๆ
(ปลายศตวรรษที่ 3) การเคลื่อนไหวชีวิตอารามวาสี ซึ่งนำไปสู่ปัญญานิยม สังคมที่ยอมรับชีวิตที่อุทิศแด่พระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตที่ใช้เวลาในการอธิษฐาน และการศึกษาพระคัมภีร์ ในเวลาต่อมารวมถึงการเขียนสำเนาพระคัมภีร์ซ้ำๆและงานวรรณกรรมอื่นๆที่ขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางของปัญญานิยม
(ก่อนปี ค.ศ. 312, ค.ศ. 726-842 จักรวรรดิไบแซนไทน์) การเคลื่อนไหวการทำลายรูปเคารพ (iconoclasm) (ช่วงศตวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศาสนจักรที่รูปอัครสาวกและพระเยซูถูกทำลายเนื่องจากคำสอนในพระคัมภีร์ที่ต่อต้านการไหว้รูปเคารพ) นำไปสู่ยุคแห่งเหตุผลที่หลายคนเผชิญหน้ากับความเชื่อดั้งเดิมในเวทมนตร์และประเพณีการบูชารูปเคารพซึ่งพระคัมภีร์กล่าวโทษ คริสเตียนถูกบังคับให้ใช้เหตุผลมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา และแยกตัวเองออกจากชาวโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขา ภายหลังการเคลื่อนไหวทำลายรูปเคารพที่ใหญ่ที่สุดจะเกิดขึ้นระหว่างการปฏิรูปโปรเตสแตนต์
(ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส) วัลดินเซียน (ก่อตั้งโดยปีเตอร์ วัลโด ในปี ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส เป็นเวลานานก่อนการปฏิรูป คริสเตียนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศสห่างจากสังคมจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งเขารวมกับโปรเตสแตนต์ พวกเขาปฏิเสธคำสอนเท็จมากมายของคริสตจักรคาทอลิกและมิได้ยอมจำนนต่อพระสันตะปาปาหรือเจ้าหน้าที่คาทอลิกที่ปกครองยุโรปอย่างกษัตริย์ในขณะนั้น) นำไปสู่รูปแบบการปกครองคริสตจักรแบบท้องถิ่น และนำไปถึงการปกครองแบบท้องถิ่นในรัฐบาลทั่วไปเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าคริสตจักร (และรัฐบาล) ไม่จำเป็นต้องมีเผด็จการเพื่อดำเนินหน้าที่ แต่คริสตจักรสามารถดำเนินการโดยศิษยาภิบาลท้องถิ่นในระดับที่เล็กกว่ามาก
(1517 ค.ศ. ยุโรป) การปฏิรูปโปรเตสแตนต์นำไปสู่ยุคแห่งการตรัสรู้และการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
(ค.ศ.1730-1740 อเมริกา) การตื่นขึ้นครั้งใหญ่ (The Great Awakening) ได้เปิดทางให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมยังหยั่งรากลึกในคนอเมริกันถึงความสำคัญของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่น เสรีภาพในการพูด (การเทศนาในที่สาธารณะ) และเสรีภาพของสื่อมวลชน (เพื่อทำและจำหน่ายหนังสือเล่มเล็กที่คล้ายกับที่ท่านถืออยู่)
นักวิทยาศาสตร์ผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงบางคนซึ่งวิทยาศาสตร์ของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา:
ในช่วงเวลาก่อนยุควิทยาศาสตร์ บอกว่าไม่มีความต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักศาสนศาสตร์ก็ไม่ผิด จริงๆแล้วก่อนที่พระเยซูเสด็จมา นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นพวกนักปราชญ์ของโรม หลังจากศาสนาคริสต์กระจัดกระจายทั่วอาณาจักรโรม นักวิทยาศาสตร์กศนพวกนักบวชที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสร้าง เหตุผลอย่างนึงที่เป็นพวกนักบวชก็คงจะเพราะว่าเขามีเวลา ไม่ใช่แค่คริสเตียนแต่ยิวด้วย และในช่วงเวลาที่อิสลามกำลังขยาย นักวิทยาศาสตร์ในจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนมากก็เป็นคริสเตียนหรือยิว แต่ด้วยรวมนักวิทยาศาสตร์ในโลกก่อนยุควิทยาศาสตร์มีน้อยคน
แบลส ปาสกาล ค.ศ. 1623–1662
นักศาสนศาสตร์โรมันคาธอลิก การเดิมพันของปาสกาล (Pascal's wager) ได้ช่วยแสดงให้เห็นว่าทำไมถึงมีความเชื่อในพระเจ้า เขาได้คิดค้นสามเหลี่ยมของปาสกาล (Pascal’s triangle) สำหรับสัมประสิทธิ์ทวินาม และ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งทฤษฎีความน่าจะเป็น (probability theory) เขาคิดค้นเครื่องกดไฮดรอลิกและเครื่องคำนวณเชิงกล
โรเบิร์ต บอยล์ ค.ศ. 1627–1691
กล่าวว่าความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่สูงขึ้น เขาได้ตีความธาตุ (elements), สารประกอบ (compounds), และเนื้อสาร (mixtures) เขาได้ค้นพบกฎแก๊สข้อแรก – กฎของบอยล์ (Boyle's Law)
ไอแซก นิวตัน ค.ศ. 1643-1727
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ไม่เห็นด้วยกับคาทอลิกอย่างมาก เขาใช้เวลาในการศึกษาพระคัมภีร์มากกว่าคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจธรรมชาติของเราอย่างลึกซึ้งด้วยกฎความโน้มถ่วงสากลและกฎการเคลื่อนที่ของเขา เขาเป็นคนที่คิดค้นแคลคูลัส; และสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงเครื่องแรก เขาได้แสดงว่าแสงแดดสร้างมาจากสีรุ้งทั้งหมด เขามีไอคิว 190 ทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่
เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ค.ศ. 1707–1783
บุตรชายของศิษยาภิบาลคาลฟินอิสท์ (Calvinist) เขาได้เขียนข้อความศาสนศาสตร์ และเป็นที่ระลึกถึงของคริสตจักรลูเธอรันในปฏิทินนักบุญของพวกเขา เขาได้ตีพิมพ์คณิตศาสตร์มากกว่านักคณิตศาสตร์คนอื่นคนใดในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เขาได้ตีพิมพ์นั้นส่วนใหญ่สุดยอดและแปลกใหม่
อัลเบรทช์ ฟอน ฮาลเลอร์ ค.ศ. 1708–1777
ชาวโปรเตสแตนต์คนหนึ่งเขียนตำราศาสนศาสตร์ และช่วยจัดระเบียบการก่อสร้างโบสถ์ คริสตจักรปฏิรูปในเกิททิงเงน (Reformed Church in Göttingen) ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งสรีรวิทยาสมัยใหม่
อองตวน ลาวัวซิเยร์ ค.ศ. 1743–1794
ผู้นับถือนิกายโรมันคาธอลิก ซึ่งมีความเชื่อในความถูกต้องของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นผู้ก่อตั้งเคมีสมัยใหม่ เขาได้ค้นพบบทบาทของออกซิเจนในการเผาไหม้และการหายใจและเขาได้พบว่าน้ำเป็นสารประกอบของไฮโดรเจนและออกซิเจน
อเลสซานโดร โวลตา ค.ศ. 1745–1827
เป็นโรมันคาธอลิกที่ประกาศว่าเขาไม่เคยหวั่นไหวในความเชื่อของเขา เขาได้คิดค้นแบตเตอรี่ไฟฟ้าและได้เขียนชุดไฟฟ้าเคลื่อนที่ชุดแรก เขาเป็นคนที่แยกมีเทนได้เป็นครั้งแรก (isolated methane)
จอห์น ดาลตัน ค.ศ. 1766– 1844
เขาเป็นเควกเกอร์ (Quaker) ผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งอยู่อย่างพอประมาณ ทฤษฎีอะตอมของดาลตันเป็นพื้นฐานของเคมี เขาได้ค้นพบกฎของเก-ลุสแซกที่เกี่ยวกับอุณหภูมิ ปริมาตร และความดันของก๊าซ และได้ค้นพบกฎความดันก๊าซ
คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ค.ศ. 1777– 1855
เป็นโปรเตสแตนต์นิกายลูเสอรันที่เชื่อวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยจิตวิญญาณมนุษย์อมตะ และเขาเชื่อว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระเจ้า เกาส์ปฏิวัติทฤษฎีจำนวน และคิดค้นวิธีกำลังสองน้อยที่สุดและการแปลงฟูริเยร์แบบเร็ว ผลงานที่ลึกซึ้งของเขาในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ กฎของเกาส์และกฎของเกาส์สำหรับแม่เหล็ก
ฮัมฟรีย์ เดวี ค.ศ. 1778–1829
กล่าวว่าการออกแบบของพระเจ้าถูกเปิดเผยโดยการตรวจสอบทางเคมี เขาได้ค้นพบลักษณะทางไฟฟ้าของพันธะเคมี เขาได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อแยกสารหลายชนิดออกเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเป็นครั้งแรก ในเวลาเดียวกันได้ตรวจพบคลอรีนและไอโอดีน และได้ผลิตตัวอย่างธาตุแบเรียม โบรอน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม และสตรอนเทียมเป็นครั้งแรก เขาได้คิดค้นโคมไฟนิรภัย
ไมเคิล ฟาราเดย์ ค.ศ. 1791– 1867
เป็นสมาชิกผู้ซื่อสัตย์และเป็นผู้อาวุโสในคริสตจักรแซนเดเมเนียน เขาได้ค้นพบการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เขาได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างแสงกับแม่เหล็กในการทดลองครั้งแรก ดำเนินการทดลองเอาอากาศทำให้เป็นของเหลวโดยที่ยังคงอยู่อุณหภูมิห้องเป็นครั้งแรก
ชาร์ลส์ แบบเบจ ค.ศ. 1791– 1871
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ซื่อสัตย์ เขาได้เขียนบทหนึ่งของอัตชีวประวัติของเขาให้กับการอภิปรายเกี่ยวกับความเชื่อของเขา ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เขาได้คิดค้น Analytical Engine ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ Turing Complete ในปี ค.ศ. 1837 (พ.ศ. 2380) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ได้ทั่วไปเครื่องแรก
ซามูเอล มอร์ส ค.ศ. 1791– 1872
เป็นคาลฟินอิสท์ (Calvinist) ที่เคยให้ทุนงานการบรรยายโดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของพระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์ เขาได้มีส่วนร่วมในการประดิษฐ์โทรเลขแบบสายเดี่ยวและจดสิทธิบัตร เขาได้พัฒนารหัสมอร์ส
แมรี แอนนิ่ง ค.ศ. 1799–1847
เป็นแองกลิกันที่ซื่อสัตย์ เธอได้ใช้เวลาว่างในการอ่านพระคัมภีร์ เธอได้ค้นพบตัวอย่างที่สมบูรณ์ครั้งแรกของไดโนเสาร์ plesiosaur; และได้อนุมานอาหารของไดโนเสาร์
เกรเกอร์ เมนเดล ค.ศ. 1822– 1884
เป็นเจ้าอาวาสโรมันคาธอลิกออกัสติเนียน เขาได้ก่อตั้งศาสตร์แห่งพันธุศาสตร์ เขาได้ระบุกฎทางคณิตศาสตร์หลายประการของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและได้ระบุลักษณะด้อยและเด่น
วิลเลียม ทอมสัน (ลอร์ดเคลฟิน) ค.ศ. 1824– 1907
เป็นผู้อาวุโสของ Free Church of Scotland เขาได้ประมวลกฎหมายเสอร์โมไดนามิกส์สองข้อแรก เขาได้อนุมานว่าศูนย์สัมบูรณ์ของอุณหภูมิคือ -273.15 °C ในระดับเคลฟิน จะพบศูนย์สัมบูรณ์ที่ 0 เคลฟิน และเขาได้คิดค้นอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ใช้ในโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเครื่องแรกผ่านสายเคเบิลใต้ทะเล
แบร์นฮาร์ด รีมันน์ ค.ศ. 1826– 1866
เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลูเสอรัน คริสเตียนเข้มแข็งที่อธิษฐานคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเวลากำลังเสียชีวิต เขาได้เรขาคณิตที่แปลงร่างเป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ สมมติฐานของรีมันน์ได้กลายเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่มีชื่อเสียงที่สุดในวิชาคณิตศาสตร์
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ค.ศ. 1831– 1879
เป็นโปรเตสแตนต์ที่เชื่อพระคัมภีร์จริงๆ เขาได้ท่องพระคัมภีร์ด้วยใจเมื่ออายุ 14 ปี เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ: สมการที่มีชื่อเสียงของเขาได้รวมพลังของไฟฟ้าและแม่เหล็กเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีจลนศาสตร์ของเขากำหนดว่าอุณหภูมิขึ้นอยู่กับความเร็วของอนุภาคทั้งหมด
วิลลาร์ด กิ๊บส์ ค.ศ. 1839– 1903
สมาชิกของคริสตจักรคองกรีเกชันนัลที่เข้าร่วมพิธีทุกสัปดาห์ เขาได้คิดค้น Vector analysis และก่อตั้งวิทยาศาสตร์ของกลศาสตร์สถิติสมัยใหม่และอุณหพลศาสตร์เคมี
จอห์น แอมโบรส เฟลมมิ่ง ค.ศ. 1849– 1945
เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งที่เทศนาเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์พระเยซู เขาได้ก่อตั้งยุคอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการประดิษฐ์หลอดสุญญากาศ (thermionic valve) และได้คิดค้นกฎมือสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
เจ.เจ. ทอมสัน ค.ศ. 1856– 1940
เป็นแองกลิกันที่อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน เขาได้ค้นพบอิเล็กตรอนและได้คิดค้นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งในเคมีวิเคราะห์ – แมสสเปกโตรมิเตอร์ และเขาได้รับหลักฐานเบื้องต้นสำหรับไอโซโทปของธาตุที่เสถียร
จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ ค.ศ. 1864– 1943
เป็นผู้นักประกาศข่าวประเสริฐโปรเตสแตนต์และผู้นำชั้นเรียนพระคัมภีร์ ซึ่งความเชื่อของเขาในพระเยซูเป็นกลไกที่เขาทำงานทางวิทยาศาสตร์ เขาได้ปรับปรุงเศรษฐกิจการเกษตรของสหรัฐอเมริกาด้วยการส่งเสริมไนโตรเจนโดยให้ถั่วลิสงเป็นพืชทางเลือกแทนฝ้ายเพื่อป้องกันการพร่องของดิน
ชาร์ลส์ บาร์คลา ค.ศ. 1877– 1944
เป็นเมธอดิสต์ที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้าของเขา เขาพบว่าอะตอมมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากันกับเลขอะตอม และรังสีเอกซ์ที่ปล่อยออกมาจากอะตอมที่ตื่นเต้นจะเป็น 'ลายนิ้วมือ' ของอะตอม
อาเสอร์ เอดดิงทัน ค.ศ. 1882– 1944
เป็นเควกเกอร์ผู้เชื่อว่าพระเจ้าผู้ที่สร้างเราทรงยิ่งใหญ่ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เสนอว่าดาวได้รับพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชัน และเขาได้ตรวจสอบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์โดยการทดลอง
โรนัลด์ ฟิชเชอร์ ค.ศ. 1890– 1962
เป็นชาวแองกลิกันที่เข้มแข็ง: เขาได้ประกาศข่าวประเสริฐทางวิทยุ และเขียนบทความเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ เขาได้รวมวิวัฒนาการแบบครบวงจรโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติกับกฎการสืบทอดของเมนเดล ดังนั้นจึงกำหนดขอบเขตใหม่ของพันธุศาสตร์ของประชากร เขาได้คิดค้นการออกแบบทดลองและเขาได้คิดค้นแนวคิดทางสถิติของความแปรปรวน
อาเธอร์ คอมป์ตัน ค.ศ. 1892– 1962
เป็นมัคนายกในคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่แห่งหนึ่ง เขาได้ค้นพบว่าแสงสามารถทำหน้าที่เป็นอนุภาคและคลื่นได้ และสร้างคำว่าโฟทอน (photon) เพื่ออธิบายอนุภาคของแสง
จอร์จ เลอแมตร์ ค.ศ. 1894– 1966
เขาเป็นนักบวชนิกายโรมันคาธอลิก. เขาได้ค้นพบว่าอวกาศและจักรวาลกำลังขยายตัว และจะให้ค้นพบกฎของฮับเบิล เขาเป็นคนที่เสนอว่าเอกภพเริ่มต้นด้วยการระเบิดของ 'อะตอมยุคดึกดำบรรพ์' ซึ่งสสารแพร่กระจายและพัฒนาไปก่อตัวเป็นดาราจักรและดวงดาวที่เราสังเกตเห็นในปัจจุบัน
แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก ค.ศ. 1901– 1976
เป็นลูเธอรันที่มีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งกับคริสเตียน เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างหลักของกลศาสตร์ควอนตัม ได้กำหนดหลักการความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก
เออร์เนสต์ วอลตัน ค.ศ. 1903– 1995
เป็นเมธอดิสต์ที่เข้มแข็ง ผู้ซึ่งกล่าวว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิธีรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์หลังจากเขาแยกอะตอมและพิสูจน์ว่า E = mc2
จอห์น เอคเคิลส์ ค.ศ. 1903– 1997
เป็นคริสเตียน เขาเชื่อว่าการทรงดูแลของพระเจ้าดำรงอยู่เหนือเหตุการณ์ทางวัตถุของวิวัฒนาการทางชีววิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์จากผลงานด้านสรีรวิทยาของไซแนปส์
ชาร์ลส ทาวน์ส ค.ศ. 1915–2015
เขาเป็นสมาชิกของ United Church of Christ เขาใช้เวลาในการอธิษฐานทุกวัน และได้เขียนหนังสือเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และศาสนา เขาเชื่อว่าศาสนาสำคัญกว่าวิทยาศาสตร์ เขาคิดค้นเลเซอร์และเมเซอร์ ทางช้างเผือกมีหลุมดำมวลมหาศาลอยู่ตรงกลาง
ฟรานซิส คอลลินส์ ค.ศ. 1950 - ปัจจุบัน
ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า กลายเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง เขาได้คิดค้นการโคลนตำแหน่ง และเขามีส่วนร่วมในการค้นพบยีนสำหรับโรคซิสติกไฟโบรซิส โรคฮันติงตัน และโรคนิวโรไฟโบรมาโตซิส เขาได้กำกับสถาบันวิจัยจีโนมมนุษย์แห่งชาติเป็นเวลา 15 ปี
(แปลจาก: https://www.famousscientists.org/great-scientists-christians/)
3. เหตุผลทางประสบการณ์ส่วนตัว
เหตุผลนี้แหละน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้มากที่สุดสำหรับความเชื่อของเรา เป็นเหตุผลที่ใช้ในพระคัมภีร์ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่คริสเตียนใช้ได้
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวที่เราไม่ได้เกิดมาเป็นศาสนานี้ แต่ทุกคนที่เป็นคริสเตียนต้องมีประสบการณ์ส่วนตัว (การบังเกิดใหม่) อย่างไรก็ตาม 30% ของโลกบอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน นั่นคือ 1 ใน 3 คน บอกว่าเขาเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และกับพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าปรากฏเป็นมนุษย์ ในที่นี่ก็ควรจะบอกด้วยว่า เพราะศาสนายิว ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกข์ และศาสนาโซโรอัสเตอร์ มากกว่า 60% ของโลกเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เดียวซึ่งเป็นผู้สร้างของเรา คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าที่กล้าที่จะบอกว่าไม่มีพระเจ้าก็เป็นจำนวนน้อยคือแค่ 15% ของโลก ในความเป็นจริงแล้วผมก็ยังคิดว่าเลขนี้ก็สูงแต่ต้องเข้าใจว่าเหตุผลที่เลขนี้สูงขนาดนี้ก็เพราะอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ซึ่งห้ามให้มีศาสนา
ศาสนาคริสต์ที่แอฟริกา
- เปอร์เซ็นต์: 49% เป็นคริสเตียน นั่นคือ 400 ล้านคนเป็นโปรเตสแตนต์ และ 180 ล้านคนเป็นคาทอลิก มีออร์โธดอกซ์บางส่วนเช่นกัน 42% เป็นมุสลิม และส่วนที่เหลือเป็นศาสนาของชนเผ่าพื้นเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าภายใน 100 ปี แอฟริกาเปลี่ยนจากศาสนาของชนเผ่าส่วนใหญ่มาเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ภายใน 100 ปี แอฟริกาได้เปลี่ยนจาก 90% ที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน ไม่มีอาหารและน้ำพื้นฐาน ในยุคปัจจุบันมีเพียง 10% เท่านั้นที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน แอฟริกามีปัญหาร้ายแรงกับหลักคำสอนเท็จ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีและสวยงามที่จะเห็นแอฟริกาลุกขึ้นจากผงคลีดิน
- ข้อเท็จจริงของอียิปต์- 10% ของอียิปต์เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้มาจากรัฐบาลอียิปต์ที่ส่วนใหญ่เป็นอิสลาม มีกลุ่มอื่นๆประมาณการตัวเลขที่มีความน่าเชื่อถือกว่าคือ 19% คริสเตียนอียิปต์มีการศึกษาที่ดีกว่ามากและสร้างรายได้มากกว่าประชากรมุสลิม ในปี 1961 คริสเตียนอียิปต์เป็นเจ้าของธนาคาร 51% ของอียิปต์ ศาสนาคริสต์ในอียิปต์เสื่อมโทรมมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากหลายคนหนีจากการกดขี่ข่มเหง ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของอียิปต์ ก่อนที่จะมีการรุกรานโดยอิสลาม
-ข้อเท็จจริงของเอธิโอเปีย- 62% ของเอธิโอเปียเป็นคริสเตียน คริสต์ศาสนากลายเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของเอธิโอเปียในปี 330 ทำให้เป็นประเทศคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกา และเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นจากการขยายเขตของชาวมุสลิม (น่าจะเนื่องมาจากทางใต้ที่ห่างไกล การอพยพไปยังยุโรปจึงไม่ใช่ทางเลือกเหมือนในอียิปต์ ซีเรีย และคริสตจักรคริสเตียนอื่นๆ) มีชาวเอธิโอเปียคนนึงที่กลายเป็นคริสเตียนกล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่ ชาวเอธิโอเปียมีประชากรชาวยิวจำนวนมากมาเกือบ 3000 ปีแล้วเช่นกัน ตามประเพณีมีว่าหีบพันธสัญญาซ่อนอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเอธิโอเปีย
- คริสเตียน 2.1 ล้านคนในแอฟริกาเคยเป็นมุสลิม
ศาสนาคริสต์ในยุโรป
-เปอร์เซ็นต์: 73% ของยุโรประบุว่าเป็นคริสเตียน ประมาณ 46% เป็นคาทอลิก 35% เป็นออร์โธดอกซ์และ 18% เป็นโปรเตสแตนต์
ศาสนาคริสต์ในตะวันออกกลาง
เปอร์เซ็นต์: ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนประมาณ 20% แต่เนื่องจากการกดขี่ข่มเหงอย่างหนักในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาและประเทศตะวันตกที่นำกฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย คริสเตียนส่วนใหญ่ได้หลบหนีไปยังประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป หาเสรีภาพทางศาสนา น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวนมากถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีในนามของศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์เริ่มต้นในตะวันออกกลางจริงๆ ดังนั้นพอจะกล่าวได้ว่าในอดีตมีหลายครั้งที่ประเทศในตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในช่วงที่มุสลิมกำลังขยายอาณาเขต
- คริสต์ศาสนาซีเรีย- 12% ของชาวซีเรียเป็นคริสเตียน ในช่วงปลายจักรวรรดิออตโตมัน ชาวซีเรียส่วนใหญ่อพยพมาจากซีเรียเนื่องจากการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1840-1860 ตั้งแต่ พ.ศ. 2442 ถึง 2462 ชาวคริสต์ซีเรีย 900,000 คนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง คริสเตียนซีเรียมีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งและมีการศึกษาสูง ก่อนที่จะมีการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของซีเรีย
- คริสต์ศาสนาตุรกี- ในปี 1914 ชาวเติร์ก 25% เป็นคริสเตียน ในปี 1927 5% เป็นคริสเตียน และปัจจุบันมีเพียง 0.4% เท่านั้นที่เป็นคริสเตียน ตัวเลขที่แน่นอนนั้นยากต่อการรู้ เนื่องจากชาวตุรกีและชาวมุสลิมที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้ปกปิดความเชื่อของตนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหง จำนวนประชากรลดลงอย่างมากเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐานของคริสเตียนไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุโรปและอเมริกา ก่อนการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของตุรกี
- ประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลางประสบปัญหาการลดลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม บางประเทศประสบกับจำนวนประชากรคริสเตียนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2513 แม้ว่าจะมีการกดขี่ข่มเหง ประเทศเหล่านี้คือ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ศาสนาคริสต์ในเอเชีย
เปอร์เซ็นต์โดยรวม: 8% ของเอเชียเป็นคริสเตียน
เปอร์เซ็นต์ในเกาหลีใต้: 56% ของชาวเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในหมู่ผู้นับถือศาสนาในเกาหลีใต้ 63% เป็นคริสเตียน และ 34% เป็นชาวพุทธ
เปอร์เซ็นต์ในประเทศจีน: จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แบบปิดซึ่งห้ามไม่ให้มีคริสเตียนเชื่อพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนประมาณการว่าประมาณ 2% ของประชากรเป็นคริสเตียน แหล่งข่าวภายนอกท้าทายตัวเลขเหล่านี้ และแนะนำว่า 5% หรือมากกว่านั้นอาจแม่นยำกว่าเมื่อพิจารณาถึงคริสตจักรบ้านที่ผิดกฎหมาย
เปอร์เซ็นต์ในญี่ปุ่น: 1.5% อย่างไรก็ตาม ศาสนาคริสต์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและถูกมองในแง่ดีจากคนญี่ปุ่นทั่วไป โดยชาวญี่ปุ่นมากกว่า 60% เลือกที่จะจัดงานแต่งงานแบบคริสเตียนในโบสถ์
เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย: 1% มีเปอร์เซ็นต์ต่ำสุดในเอเชีย (ใน wikipedia มีเพจหนึ่งที่ชื่อ "organized crime in thailand" ที่อธิบายสาเหตุที่ประเทศไทยมีอาชญากรรมเยอะ บทความนี้บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ ผมก็จะไม่พูดอย่างนั้นเพราะกลัวกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมของประเทศนี้ แต่ผมจะเสนอว่า หลายอย่างของประเทศไทยพร้อมสำหรับการเจริญเติบโต แต่ทำไมถึงไม่ยอมโตสักที สำหรับผมพูดง่ายๆก็คือ มีความเชื่อที่ผิดเยอะ กระทำที่ชั่วก็จะตามมา ถ้าประเทศไทยเป็นคริสเตียนก็คงเจริญเร็ว หรือไม่ก็ต้องเจอน้ำมันเยอะๆเหมือนประเทศแขก ;)
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเขาในประเทศไทย: ประมาณว่ากว่าครึ่งของชาวเขาในประเทศไทยตอนนี้เป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นเพราะคำทำนายที่สำเร็จตามประเพณีของพวกเขาเอง เช่น ชาวต่างชาตินำหนังสือที่หายไปกลับมา ซึ่งมิชชันนารีอธิบายว่าต้องเป็นพระคัมภีร์ และความเชื่อในผู้สร้าง ท่ามกลางประเด็นทั่วไปอื่นๆ ในพระคัมภีร์
ศาสนาคริสต์ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
เปอร์เซ็นต์ในออสเตรเลีย: 52%
เปอร์เซ็นต์ในนิวซีแลนด์: 49%
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวอะบอริจิน (ชาวออสเตรเลีย) 55%
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเมารี (ชาวพื้นเมือง Nz) ประมาณว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นชาวเมารีเฉพาะของศาสนาคริสต์ซึ่งรักษาประเพณีของชาวเมารี แต่ยอมรับหลักคำสอนคริสเตียน (ตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศไทย)
ศาสนาคริสต์ในอเมริกาเหนือ
เปอร์เซ็นต์โดยรวม 77%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดา 67%
เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกัน 65%
เปอร์เซ็นต์ของชนพื้นเมืองอเมริกัน (สหรัฐอเมริกา) 66%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแอฟริกันอเมริกัน 85%
เปอร์เซ็นต์ในเม็กซิโก (รวมเปอร์เซ็นต์โปรเตสแตนต์และอัตราการเติบโต) คริสเตียน 88% คาทอลิก 82% โปรเตสแตนต์ 6.6
ศาสนาคริสต์ในอเมริกาใต้
เปอร์เซ็นต์โดยรวม (คาทอลิกและโปรเตสแตนต์) 83%, 59% เป็นคาทอลิกและ 20% เป็นโปรเตสแตนต์ (ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคข้อมูลของเราเนื่องจากความจริงมีความสำคัญมากกว่าประเพณี)
- อัตราการเติบโตของโปรเตสแตนต์: เป็นเวลากว่า 200 ปีที่ชาวคาทอลิกมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของอเมริกาใต้ จนถึงปี 1960 เมื่อโปรเตสแตนต์เริ่มเติบโตอย่างมากจากเพียง 5% เป็น 20% ที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ประท้วงมีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองของอเมริกาใต้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา
สถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ทั่วโลก
- 25% ของชาวมุสลิมที่เข้าเป็นคริสเตียน มองเห็นความฝันหรือนิมิตพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์
- 65% ของผู้ชนะรางวัลโนเบลในศตวรรษที่ผ่านมาเป็นคริสเตียน (ที่น่าแปลกใจเพราะว่าคณะกรรมการมีแนวคิดแบบสายจัดต่อต้านคริสเตียนมากขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา)
- พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือที่มีการแปลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มักเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ในภาษาต่างๆ ที่เป็นภาษาปากตามประเพณี (รวมถึงภาษาชาวเขาของไทยและภาษาถิ่นอื่นๆ เช่น ภาษาถิ่นใต้ ซึ่งปกติจะไม่เขียนออกมาแต่พูดด้วยวาจาเท่านั้น)
- คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ภาษาไทยโดยใช้แท่นพิมพ์ ต้นฉบับอยู่ในพิพิธภัณฑสถานอังกฤษ น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่ยอมรับความสำคัญของพระคัมภีร์
ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่เป็นคริสเตียน
พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้าและทรงเป็นจอกของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรักษาส่วนมรดกของข้าพระองค์ไว้ เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี ข้าพเจ้าถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานคำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า เออ ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้า จึงยินดีและจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์ ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย -สดุดี 16:5-9
เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงยกย่องพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ -สดุดี 18:49
ข้าพระองค์จะบอกเล่าพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน -สดุดี 22:22
พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ -สดุดี 26:7
เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข -สดุดี 34:8
แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ -สดุดี 35:28
พระองค์ได้ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนมากมายจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระยาห์เวห์ -สดุดี 40:3
ข้าพระองค์ได้ประกาศข่าวดีเรื่องการช่วยกู้ ในชุมนุมชนใหญ่ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงทราบแล้ว ข้าพระองค์มิได้ยับยั้งริมฝีปากของข้าพระองค์ไว้เลย ข้าพระองค์มิได้เก็บงำการชอบธรรมของพระองค์ไว้แต่ในใจ ข้าพระองค์ได้พูดถึงความซื่อสัตย์และความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ไว้จากชุมนุมชนใหญ่ -สดุดี 40:9-10
บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง -สดุดี 66:16
ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์ คือพระราชกิจที่ช่วยให้รอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนพระราชกิจนั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะนำเรื่องกิจการอันทรงอานุภาพของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้วย ข้าพระองค์จะสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียว ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆ มา และข้าพระองค์จะประกาศถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา -สดุดี 71:15-18
และลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์วันยังค่ำ เพราะผู้ที่หาทางทำอันตรายข้าพระองค์ จะอับอายและอดสู -สดุดี 71:24
จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ให้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงไถ่ไว้แล้วกล่าวดังนั้นเถิด คือผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมือของคู่อริ -สดุดี 107:1-2
ข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระโอวาทของพระองค์เฉพาะพระพักตร์บรรดาพระราชา และจะไม่อับอาย -สดุดี 119:46
คนรุ่นหนึ่งจะยกย่องพระราชกิจของพระองค์ ให้คนอีกรุ่นหนึ่งฟัง และจะประกาศกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ ข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงความยิ่งใหญ่ในศักดิ์ศรีอันสูงส่งของพระองค์ และตรึกตรองถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงอานุภาพแห่งกิจการอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาทั้งหลายจะเล่าขานถึงคุณความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงด้วยความยินดีถึงความชอบธรรมของพระองค์ -สดุดี 145:4-7
เขาทั้งหลายจะกล่าวถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ -สดุดี 145:11
และในวันนั้น พวกท่านจะกล่าวว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์ จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย จงให้พวกเขารำลึกว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู “จงร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำกิจอันดีเลิศ จงให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก ชาวศิโยนเอ๋ย จงโห่ร้องและเปล่งเสียงด้วยความยินดี เพราะว่าองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลนั้นทรงยิ่งใหญ่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน” -อิสยาห์ 12:4-6
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกไว้ เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ก่อนหน้าเราไม่มีเทพเจ้าใดถูกปั้นขึ้น และภายหลังเราก็จะไม่มี -อิสยาห์ 43:10
พระยาห์เวห์ทรงนำความยุติธรรมออกมาให้เรา มาเถิด ให้เราประกาศพระราชกิจ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราในศิโยน -เยเรมีย์ 51:10
และบรรดาคนฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงท้องฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์ -ดาเนียล 12:3
ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ -มัทธิว 5:16
และจะมอบพวกท่านให้เจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเรา เพื่อว่าพวกท่านจะได้เป็นพยานแก่พวกเขาและแก่พวกต่างชาติ -มัทธิว 10:18
“เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ -มัทธิว 10:32
ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง -มัทธิว 24:14
แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของท่านที่บ้าน แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร และเล่าถึงพระเมตตาที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ท่าน” -มาระโก 5:19
“จงกลับไปที่บ้านของท่านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อท่าน” เขาก็ไปและประกาศให้คนทั้งเมืองทราบถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงทำต่อเขา -ลูกา 8:39
“และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า -ลูกา 12:8-9
ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ -ยอห์น 4:28-30
ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยิวว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคือพระเยซู -ยอห์น 5:15
ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง -ยอห์น 5:31
และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านอยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว -ยอห์น 15:27
เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน” -กิจการ 4:20
พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อไปถึงแล้วท่านทั้งสองจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว ยิวในเมืองนี้มีใจยอมรับมากกว่ายิวในเมืองเธสะโลนิกา เพราะพวกเขารับพระวจนะด้วยความอยากรู้และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจริงดังที่กล่าวหรือไม่ -กิจการ 17:10-11
พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึก ของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน และข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า -1 โครินธ์ 2:1-5
และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย -2 โครินธ์ 4:13
จงต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ให้มั่น คือชีวิตที่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านไปรับ ในตอนที่ท่านกล่าวคำยอมรับอันดีต่อหน้าพยานหลายคน -1 ทิโมธี 6:12
เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นอาจารย์ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อับอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้า จนถึงวันพิพากษา ได้ -2 ทิโมธี 1:8-12
เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างชั่วร้ายและอิจฉาริษยา ถูกชิงชังและเกลียดกัน แต่เมื่อความดีเลิศและความรักของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรามาปรากฏ พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพื่อว่าเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว ก็จะได้เป็นผู้รับมรดกตามที่หวังไว้คือชีวิตนิรันดร์ -ทิตัส 3:3-7
ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของเรา เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน” -ฮีบรู 2:12
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยาน มากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา -ฮีบรู 12:1
แต่ในใจของพวกท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน -1 เปโตร 3:15
เพราะว่าเราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ -2 เปโตร 1:16
เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา) สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา จะได้เต็มเปี่ยม -1 ยอห์น 1:1-4
นี่แหละคือผู้ที่ได้มาด้วยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยาน เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง -1 ยอห์น 5:6
และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ -1 ยอห์น 5:11
เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น -วิวรณ์ 6:9
พวกเขาชนะมารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย -วิวรณ์ 12:11
และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและยึดถือคำพยานของพระเยซู -วิวรณ์ 12:17
แล้วข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านเพื่อจะนมัสการท่าน แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพี่น้องของท่านที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด” เพราะว่าคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ -วิวรณ์ 19:10
ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นได้รับมอบอำนาจในการพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกตัดศีรษะเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา เขาทั้งหลายกลับมีชีวิตขึ้นอีกและครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี -วิวรณ์ 20:4
คำว่าวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นคำที่น่ากลัวถ้าเราจะพูดถึงศาสนาและความเชื่อ แต่ในความเป็นจริงวิทยาศาสตร์พูดถึงการศึกษาโลกวัตถุ เพราะฉะนั้นถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่าง สิ่งที่พระเจ้าสร้างน่าจะแสดงหลักฐานถึงพระเจ้าพระผู้สร้าง
อย่างไรก็ตามหลักฐานวิทยาศาสตร์สำหรับพระเจ้า ก็จะมีจำกัดเพราะว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณและดำรงอยู่นอกโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถสร้างการทดลองเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า
แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า เราสามารถยืนยันได้ว่าโลกวัตถุนี้ ได้มีการเริ่มต้น ทั้งเวลา เนื้อที่และวัตถุมีการเริ่มต้นและมีเวลาในอดีตที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่มี และเพราะสิ่งเหล่านี้ก็ต้องยอมรับว่ามีอะไรนอกจากโลกวัตถุนี้ ที่ได้ทำให้จักรวาลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทฤษฎีบิ๊กแบง ได้ยืนยันว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณด้วย (เพื่อการโต้แย้งฉันจะบอกว่า สิ่งที่อยู่นอกโลกวัตถุนี้เป็นโลกวิญญาณ เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้)
บิ๊กแบง-
ในปี ค.ศ. 1929 Edwin hubble ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เจอว่าจักรวาลนี้กำลังขยายไปข้างนอก และได้เจอว่ามีกาแล็กซี่อื่นนอกจากทางช้างเผือก (milkyway) ของเรา และเขาได้เจอว่าดาวที่ไกลที่สุดจากโลกขยายออกไปเร็วกว่าดาวที่อยู่ใกล้ การค้นพบแรกในที่นี้มีความสำคัญทางศาสนศาสตร์ ถ้าจักรวาลกำลังขยายออกไป ก็ต้องมีจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจในครั้งแรกที่ได้เจอ เพราะว่าก่อนที่ Edwin hubble นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากก็เข้าใจว่าจักรวาลมีอยู่ตลอดและไม่มีจุดเริ่มต้น (แม้แต่เขาเข้าใจว่าชีวิตมีการเริ่มต้น แต่จักรวาลมีอยู่ตลอดในความเข้าใจของเขา) การที่เจอว่าจักรวาลนี้มีสิ้นสุดมีทั้งจุดเริ่มต้นและวันสุดท้ายเป็นการสนับสนุน หลักข้อเชื่อของคริสเตียน "เอ็กซ์นีลีโอ" ซึ่งแปลว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างจากความว่างเปล่า
The law of conservation of mass- "… ไม่มีอะไรใหม่สามารถเกิดขึ้นได้และไม่มีอะไรจะสามารถจบสิ้นไปเช่นเดียวกัน …. ซึ่งจะต้องหมายความว่า ความเข้าใจถึงบิ๊กแบงของผู้ที่บอกว่ามีวัตถุเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นความเข้าใจที่ผิดมากและไร้สาระ ในขณะที่เรารู้ว่าจักรวาลมีการเริ่มต้นและทุกอย่างที่เป็นวัตถุได้มีการเริ่มต้น ก็ต้องมีสาเหตุที่อาศัยอยู่ข้างนอกโลกวัตถุ (คือจักรวาลของเรา) ที่ทำให้จักรวาลของเราได้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ถ้าจักรวาลของเราถูกสร้างโดยโลกวิญญาณ (โลกวิญญาณหมายความว่าทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกโลกวัตถุ) มีความเป็นไปได้สูงว่า มีบุคคลที่เป็นวิญญาณหลายๆผู้ (คือถ้าโลกวิญญาณเป็นเหมือนโลกวัตถุ ก็คงเป็นอย่างนั้น) และถ้าวิญญาณต่างๆทุกสร้างเช่นเดียวกัน ก็ต้องมีวิญญาณแรกที่สร้างวิญญาณอื่น (รวมถึงสิ่งของต่างๆที่เป็นวิญญาณ) วิญญาณแรกที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง คือพระเจ้าพระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีที่สิ้นสุดในฤทธานุภาพ พระองค์รู้ทุกอย่าง พระองค์อาศัยอยู่นอกเวลา ถึงพระองค์บอกว่า "เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน” (วิวรณ์ 22:13) และอาศัยอยู่ทุกที่เวลาเดียวกัน (สดุดี 139:7-10) ลักษณะของโลกวิญญาณและลักษณะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราจะไม่รู้นอกจากว่าได้ปรากฏให้เราเห็น ลักษณะของพระเจ้าได้ปรากฏให้เราเห็นผ่านทาง ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง พระวจนะ (คือพระคัมภีร์) และพระวาทะ (พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์)
เหตุผลเชิงจักรวาลวิทยา (Kalams cosmilogical argument)-
1. สิ่งใดก็ตามที่มีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่มีต้นเหตุ
2. จักรวาลนั้นมีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีต้นเหตุให้ดำรงอยู่
ข้อพระคัมภีร์บางข้อเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์:
เพราะนี่แน่ะ คนอธรรมโก่งธนู และเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว เพื่อจะยิงในความมืดให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม -สดุดี 11:2
ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คือการค้นสิ่งนั้นให้ปรากฏ -สุภาษิต 25:2
...พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น -ฮีบรู 11:3
ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป -โรม 1:20-21
2. เหตุผลทางประวัติศาสตร์:
ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
โบราณคดีเป็นการศึกษา ของโบราณ อนุสาวรีย์ อุโมงค์ และเครื่องมือโบราณต่างๆของ อารยธรรมโบราณต่างๆ ทั้งคนและเหตุการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักเพราะบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เท่านั้น ก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงเวลา ขุดค้นเมืองโบราณ อย่างสม่ำเสมอพระคัมภีร์ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ขอให้เราดูตัวอย่างบางอย่างด้วยกัน:
องุ่นในอียิปต์:
ในปฐมกาลบทที่ 40 พระคัมภีร์บอกว่า โยเซฟได้แปลฝันของพ่อบ้านของฟาโรห์ ในฝันของเขาได้พูดถึงองุ่น แต่นักประวัติศาสตร์ของสมัยโบราณ เหโรโดทัส ได้บอกว่า ชาวอียิปต์ไม่ได้ปลูกองุ่น และก็ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น ซึ่งทำให้บางคนสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในข้อนี้ แต่พอนักโบราณคดีได้เจอรูปวาดในอุโมงค์ของอียิปต์ เป็นรูปการตัดแต่งกิ่ง และการปลูกเถาองุ่น รวมถึงระบบการผลิตน้ำองุ่น มีรูปภาพคนเมาอีกด้วย ตอนนี้ไม่มีความสงสัยเลยว่า เหโรโดทัส คิดผิดและพระคัมภีร์ถูก
อิฐของปิธม
ในอพยพ 1:11 พระคัมภีร์บอกว่า ชนชาติอิสราเอลได้สร้างเมืองสมบัติ ปิธมและเมืองราเมเสสสำหรับฟาโรห์ ในปฐมกาลบทที่ 5 พระคัมภีร์บอกว่า ต้องผลิตอิฐด้วยฟางในช่วงแรกและหลังจากนั้นใช้ตอข้าวมาแทนฟาง เพราะว่าอียิปต์ไม่ให้ใช้เพื่อจุดประสงค์นั้น ในปี ค.ส. 1883 Naville, และในปี ค.ส. 1908, kyle, ได้เจอที่ ปิธม ซึ่งเป็นเมืองนึงที่ได้ถูกสร้างโดยอิสราเอล อิฐในบริเวณต่ำๆของบ้านผลิตโดยใช้ฟาง ส่วนตรงกลางใช้ฟางน้อยกว่าเดิมรวมกับตอข้าว และชั้นบนสุดผลิตด้วยดินเหนียวเปล่าๆ เป็นเรื่องที่ยากที่จะไม่ประหลาดใจในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในเหตุการณ์นี้
ชาวฮิตไทต์
พระคัมภีร์ได้พูดถึงชาวฮิตไทต์ 48 ครั้ง เราเห็นชาวฮิตไทต์กำลังขวางทางในเวลาที่ชาวอิสราเอลพยายามเข้าแผ่นดินแห่งพระสัญญา เราอ่านเกี่ยวกับอุรียาห์คนฮิตไทต์ซึ่งเป็นคนที่กษัตริย์ดาวิดส่งไปถึงความตาย อย่างไรก็ตาม ในการบันทึกโบราณวัตถุทั้งหมดไม่มีการอ้างถึงชาวฮิตไทต์สักครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่สงสัยก็จะบอกว่าพระคัมภีร์แต่งเรื่องขึ้นมาเอง แต่ในปี ค.ส. 1876 Goerge smith ได้เริ่มที่จะศึกษาอนุสาวรีย์ของสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เจราบีในเอเชียไมเนอร์ ที่แห่งนี้เป็นเมือง old carchemish ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ ฮัตติโบราณ ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ฮัตติ ก็เป็นชาวฮิตไทต์ที่ได้พูดถึงในพระคัมภีร์ ซึ่ง ศ.เอ.เอช.เซย์เซ ได้บอกว่า "เปรียบเทียบกับอาณาจักรอียิปต์และอัสซีเรียได้เลย" ในที่สุดโบราณคดีได้พิสูจน์ว่า ชาวฮิตไทต์มีจริง แต่ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆในสมัยโบราณ
ซาร์กอน:
ใน อิสยาห์ 20:1 เราอ่านว่า "ในปีที่ผู้บัญชาการใหญ่ซึ่งถูกส่งมาจากซาร์กอน พระราชาของอัสซีเรียได้มาถึงเมืองอัชโดดและต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้" อันนี้ก็เป็นครั้งเดียวในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงกษัตริย์ ซาร์กอน และเป็นครั้งเดียวที่ได้พูดถึงในวรรณกรรมโบราณ เพราะฉะนั้นมีหลายคนสงสัยว่ามีจริงๆไหม แต่ในปี ค.ส. 1842-1845 พี.อี.บอทต้า ได้เปิดเผยราชวังของกษัตริย์ซาร์กอน ระหว่างสิ่งต่างๆที่ได้เจอในเวลานั้น ก็มีการบันทึก การยึดเมืองอัชโดดที่อิสยาห์ได้พูดถึง เป็นอีกหนึ่งครั้งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างถูกต้องแต่ผู้ที่สงสัยคิดผิด
น้ำท่วมโลก
ในปฐมกาลบทที่ 7 และ 8 ได้พูดถึงการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมใหญ่ สำหรับหลายคนเขาคิดว่าการที่น้ำท่วมใหญ่นี้เป็นเหมือนนิทาน แต่มีหลักฐานค่อนข้างมากที่มาจากข้างนอกพระคัมภีร์ที่ได้สนับสนุนเรื่องที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ จงสังเกตดูเรื่องเล่าเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกของมนุษย์โบราณหลายๆชนชาติ มีนักโบราณคดีคนหนึ่งบอกว่ามีเรื่องเล่าอย่างนี้ยังน้อย 88 ครั้ง ของหลายๆกลุ่ม เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยกันว่า มีการทำลายโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยการที่น้ำท่วมใหญ่ เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยว่าเรือเป็นหนทางที่ได้รอดจากน้ำท่วม เกือบทุกเรื่องพูดถึงการที่มนุษย์ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการมีลูก หลายเรื่องเหล่านี้ก็พูดถึงความชั่วของมนุษย์ที่ได้ทำให้น้ำท่วมเกิดขึ้น และบางเรื่องขอใช้ชื่อโนอาด้วย บางเรื่องก็พูดถึงนกที่ได้ส่งออกไปและได้พูดถึงการถวายบูชาถวายให้เทพเจ้าต่างๆเวลาได้รับความรอดจากน้ำท่วม สำหรับใครที่เคยได้ยินเรื่องน้ำท่วมโลกเขาก็จะประหลาดใจในความคล้ายกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ความคล้ายและจำนวนชนชาติที่ได้เล่าเรื่องนี้ต่อๆกันไปตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการสนับสนุนเรื่องที่ได้บันทึกไว้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ใครบางคนนั้นจินตนาการไปเอง
ในปี ค.ส. 1872 Goerge smith ได้เจอ แผ่นศิลาน้ำท่วมของบาบิโลน ตอนนี้มีชื่อเสียงแล้ว ในแผ่นศิลานี้ มีคนๆหนึ่งที่สร้างเรือและเอาสัตว์ทุกชนิดขึ้นไปบนเรือ ซึ่งได้รับคำสั่งเรื่องขนาดเรือที่มีความเฉพาะเจาะจง และได้รับคำสั่งว่าต้องใช้น้ำมันดินเพื่ออุดรู เขาเอาทั้งครอบครัวขึ้นไปบนเรือพร้อมกับอาหาร มีพายุที่หนักมากซึ่งเป็นเวลา 6 วัน เรือได้ลงบนภูเขาที่ชื่อ ภูเขานาซีร์ เขาส่งนกพิราบออกไปและมันก็ได้บินกลับมา เขาส่งนกนางแอ่นออกไป มันก็กลับมาเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาส่งนกกาออกไปและมันก็บินมาบินไปอยู่บนโลก หลังจากที่ปลอดภัยได้ออกจากเรือแล้วพวกเขาได้ถวายบูชาเทพเจ้าของเขา จริงๆแล้วเรื่องนี้ตรงกับพระคัมภีร์บางอย่าง แต่ก็มีความคล้ายค่อนข้างมาก พอที่จะทำให้สงสัย ตั้งคำถามถึงประวัติศาสตร์ของน้ำท่วมนี้
มากกว่านั้น นักโบราณคดีได้เจอหลักฐานโครงการน้ำท่วมใหญ่ในเมืองโบราณต่างๆ ที่เมืองซูซ่าในอียิปต์ มีชั้นดินหนาประมาณ 2 เมตร ระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ของเมืองซูซ่าโบราณ อันนี้ก็เป็นหลักฐานว่าเมืองซูซ่าโดนทำลายด้วยน้ำท่วมที่ใหญ่มาก ที่เมือง เออร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอับราฮัม เขาได้เจอชั้นดินเหนียวหนาประมาณ 3 เมตร ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเมือง เออร์ ได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมเป็นขนาดใหญ่พอๆกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีหลักฐานเยอะแยะมากมายแต่ ที่พูดถึงตอนนี้ก็คงจะพอที่จะให้เห็นว่าน้ำท่วมโลกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้เกิดขึ้นจริง
เยรีโค:
โยชูวา 6 ได้อธิบายว่า อิสราเอลได้พิชิตเมืองเยรีโค ซึ่งมีกำแพงใหญ่รอบเมือง ชาวอิสราเอลได้เดินรอบเมือง 1 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 วัน ในวันที่ 7 เดินรอบเมืองกี่ครั้ง หลังจากนั้นพวกปุโรหิตเป่าแตร และชาวอิสราเอลร้องด้วยเสียงดัง เวลาทำเช่นนี้ "กำแพงก็พังลงราบ" (โยชูวา 6:20) ชาวอิสราเอลรีบเข้าและเผาเมือง เขาไม่ได้เอาอะไรเป็นของตัวเอง เขาช่วย ราหับ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านติดกำแพง ซึ่งเป็นคนที่เคยช่วยเขาเมื่อก่อนหน้านี้
เริ่มต้นในปี ค.ส. 1929 ดร.จอห์น การ์สแตง ขุดซากปรักหักพังของเมืองเยริโคโบราณ สิ่งที่เขาได้เจอตรงกับที่อ่านในพระคัมภีร์มาก เขาเจอว่าเยรีโค มีกำแพง 2 ชั้น ด้วยมีบ้านสร้างระหว่าง 2 ชั้นนั้นซึ่งตรงกับที่อ่านเกี่ยวกับราหับ ว่าบ้านอยู่ในกำแพง และเขาได้พบว่ากำแพงได้พังลงมาเหมือนแผ่นดินไหวและไม่ได้ลงข้างในแต่ลงไปทางด้านนอก เหมือนที่พระคัมภีร์บอก "กำแพงก็พังลงราบ" ถ้าสมมุติว่าใช้ไม้ทุบตี กำแพงก็จะพังลงมาด้านในแทนที่จะพังออกมาทางด้านนอก มากกว่านั้นคือเขาพบหลักฐานว่าทั้งเมืองโดนเผา โบราณคดีได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สำเร็จราชการชื่อเสอร์จีอัส เปาลุส:
ในกิจการ 13:7 พระคัมภีร์ได้พูดถึง เสอร์จีอัส เปาลุส ผู้สำเร็จราชการของไซปรัส เป็นช่วงเวลายาวนานที่ผู้ที่คลางแครงจะยืนยันว่าลูกาควรจะเรียกเขาว่า propraetor แทน ผู้สำเร็จราชการ เพราะว่าอันนี้เป็นตำแหน่งที่ปกติ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีได้เจอเหรียญที่ไซปรัส ที่ยืนยันอย่างแน่นอนว่า governors ของไซปรัส ก็เป็น ผู้สำเร็จราชการ มีเหรียญอันนึงที่ได้เจอที่ soli ที่ ไซปรัส มีจารึกไว้ว่า "ผู้สำเร็จราชการ เปาลุส" ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังอ้างถึงคนๆเดียวกัน
การยืนยันของบุคคลนอกพระคัมภีร์ เช่น มีนักประวัติศาสตร์ชาวยิวของสมัยพระเยซู ชื่อ Josephus ซึ่งได้เขียนบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ยกตัวอย่าง: ในมัทธิว 14:3-4 "เฮโรดทรงจับยอห์นล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ชายาของฟีลิปพระอนุชาของพระองค์ เพราะยอห์นเคยทูลพระองค์ว่า “พระองค์ไม่มีสิทธิ์รับนางนั้นมาเป็นพระชายา" Josephus ได้ช่วยอธิบายว่าทำไมถึงผิดกฎหมาย คือตอนแรก เฮโรเดียส ได้แต่งงานกับ น้องชายเฮโรด ที่ชื่อ ฟีลิป แต่ผู้หญิงเลิกกับฟีลิป เพื่อจะแต่งกับเฮโรด คือการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามกฎบัญญัติ เป็นเหตุผลที่ยอห์นได้แก้ไขเฮโรด ในที่นี่เรื่องที่ Josephus เล่าให้เราฟัง ตรงกับพระคัมภีร์อย่างแม่นยำ มีเรื่องที่บันทึกในพระคัมภีร์ที่ได้ถูกยืนยันความถูกต้องจากบุคคลนอกพระคัมภีร์
(แปลจาก: http://www.lavistachurchofchrist.org/LVarticles/HistoricalAccuracyOfTheBible.htm)
ความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์ เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
มีเหตุผลเยอะแยะมากมายที่ทำให้หลายคนสงสัยถึงความถูกต้องของพระคัมภีร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า พระคัมภีร์ไม่มีข้อเท็จจริงที่ยืนยันความรู้ของเราเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงพระคัมภีร์มีเยอะ พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์ก็กล่าวได้อย่างถูกต้อง ในความเป็นจริง มีหลายครั้งที่พระคัมภีร์สนับสนุนแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับงานเขียนอื่นๆในสมัยนั้น ขอให้เราดูตาม :
รูปทรงดวงโลก:
คือพระองค์ประทับเหนือหลังคาโค้งของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางมันออกเหมือนเต็นท์สำหรับอาศัย -อิสยาห์ 40:22
ข้อนี้กำลังจะบอกว่าโลกเป็นทรงกลม แทนที่จะแบนแบบที่หลายคนคิดในสมัยนั้น
ดวงโลกลอยอยู่ในความว่างเปล่า:
พระองค์ทรงคลี่อุดร ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า -โยบ 26:7
ข้อนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าวัฒนธรรมอื่นในสมัยนั้น จะชอบบอกว่าโลกตั้งอยู่บนหลังสัตว์ คน หรือ เสา
ดวงดาวมีนับไม่ถ้วน:
พระองค์จึงพาอับรามออกมาข้างนอกแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้าสิ ถ้าเจ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไป” แล้วพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น” -ปฐมกาล 15:5
มีหุบเขาอยู่ใต้ทะเล:
และก้นทะเลก็ปรากฏ อีกทั้งรากของพิภพก็เผยโฉม ตามการกำราบของพระยาห์เวห์ ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์ -2 ซามูเอล 22:16
มีน้ำพุใต้ทะเล:
เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 600 ปี ในเดือนที่สองวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำพุใต้บาดาลที่ลึกมากทั้งหมดก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิด -ปฐมกาล 7:11 ดูที่ ปฐมกาล 8:2, สุภาษิต 8:28 ด้วย
กระแสน้ำในมหาสมุทร:
ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์ เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ พระองค์ทรงให้เขาปกครองผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าเขา ตลอดทั้งนกบนฟ้า ปลาในทะเล และสิ่งใดๆ ที่แหวกว่ายอยู่ตามทะเล -สดุดี 8:1, 3-3, 6, 8
วัฏจักรอุทกวิทยา:
พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆก็ไม่ปริออกเพราะน้ำนั้น -โยบ 26:8
เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป มันกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์ ซึ่งเมฆเทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม -โยบ 36:27-28
ความสง่างามทั้งสิ้น ได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน แล้ว พวกเจ้านายของเธอก็เป็นดุจฝูงกวาง ที่หาทุ่งหญ้าไม่พบ และหมดแรงหนี ต่อหน้าผู้ไล่ล่า ז (ซายิน) เยรูซาเล็มในยามทุกข์ยากและยามพลัดบ้าน ได้หวนระลึกถึง ของล้ำค่าทั้งสิ้น ที่ตนเคยมีในครั้งกระโน้น เธอระลึกได้เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในมือของคู่อริ และหามีผู้ใดจะสงเคราะห์เธอไม่ พวกคู่อริเห็นเธอแล้ว ก็เยาะเย้ยความล่มจมของเธอ ח (เฆท)
เพลงคร่ำครวญ 1:6-7
แนวคิดของเอนโทรปี:
(จากวิกิพีเดีย: เอนโทรปี (อังกฤษ: entropy) มาจากภาษากรีก εν (en) แปลว่าภายใน รวมกับ τρέπω (trepo) แปลว่า "หมุนกลับ กลับหลังหัน หรือ หนี" ถือเป็นหัวใจของกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพที่เกิดขึ้นเองทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ความแตกต่างของ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ แรงดัน ความหนาแน่น หรือค่าอื่น ๆ ในระบบค่อย ๆ น้อยลงจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งต่างจากกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึงการอนุรักษ์พลังงาน)
ในกาลก่อนพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป -สดุดี 102:25-26
ลักษณะสุขภาพที่ดี ความสะอาด และเชื้อโรค:
เรื่องนี้ก็ยาวเกินไปที่จะเขียนไว้แค่หน้านี้ แต่แนะนำให้ไปอ่าน เลวีนิติ 12-14
(แปลจาก: https://carm.org/the-bible/scientific-accuracies-of-the-bible/)
การพัฒนาและการประสบความสำเร็จของวัฒนธรรม จูดีโอ-คริสเตียน ทั้งสิ้น
เบื้องหลังการพัฒนาทางสังคมและความเจริญต่างๆ ที่ใหญ่ๆ คือการฟื้นฟูคริสเตียน ในที่นี้ก็จะพูดถึงบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากการฟื้นฟูคริสเตียน:
บางอย่างที่ถูกยกเลิกเพราะอิทธิพลของศาสนาคริสต์:
ในจักรวรรดิโรมัน:
ยุติการการทำแท้งและการทิ้งเด็กแรกเกิด (ในจักรวรรดิโรมัน ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องปกติที่จะทิ้งเด็กในป่าหรือบนภูเขาเพื่อให้สัตว์มากินโดยเฉพาะลูกสาวเพราะคิดว่าสำคัญน้อยกว่าผู้ชาย) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 3
ยุติการกิจกรรมผิดศีลธรรมทางเพศ (กิจกรรมทางเพศเสื่อมทรามอย่างมากในจักรวรรดิโรมัน การมีเพศสัมพันธ์หมู่เป็นเรื่องธรรมดา และการมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กชายและผู้หญิงถือเป็นทรัพย์สินก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ขยายไปทั่วอาณาจักรโรมัน) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 4
ยุติการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ (ชาวโรมันส่งเสริมการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ที่โหดร้าย ซึ่งมีทาสและอาชญากรที่ถูกประณามฆ่ากันเพื่อความสนุกสนาน) อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 5
ยุติการประเพณีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาต่าง ๆ ทั่วโลก:
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในประเทศไทยที่จะยุติการ ซึ่งจะมีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาในช่วงก่อตั้งเมืองใหม่ การถวายเครื่องบูชาซึ่งอาจจะเป็นหญิงมีครรภ์ถูกฝังไว้ใต้เสาหลักเมืองแห่งหนึ่ง (หลักเมือง) โดยเชื่อว่าวิญญาณจะปกป้องเมือง (เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของคนสมัยก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอนหรือไม่ แต่การที่พยานเป็นคนไทยทำให้มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง) - ศตวรรษที่ 19 อาณาจักรไทย
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในแอฟริกาที่จะยุติการ การฆ่าภรรยาและนางสนมเมื่อหัวหน้าเผ่าเสียชีวิตในแอฟริกา -ศตวรรษที่ 19 แอฟริกา
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในอินเดียที่จะยุติการ สุทัตในอินเดีย การเผาหญิงม่ายบนกองเพลิงศพของสามี -1829 ค.ศ. อินเดีย
อื่นๆ:
ยุติการการค้าขายทาส- ศตวรรษที่ 19
การไม่รู้หนังสือลดลงอย่างรวดเร็ว (อิทธิพลของคริสเตียนได้ส่งเสริมการรู้หนังสือในเกือบทุกประเทศบนโลกใบนี้ รวมประเทศไทยด้วย หนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ (Gutenberg press นำเข้าจากสิงคโปร์) ในประเทศไทยเป็นพระคัมภีร์ใบปลิวที่แปลและพิมพ์โดยมิชชันนารี มีให้ชมในพิพิธภัณฑ์ลอนดอนเท่านั้นเพราะประเทศไทยไม่ต้องการ) ศตวรรษที่ 19 ถึงปัจจุบัน
การลดประเพณีการกินเนื้อคน- ทั่วโลกในศตวรรษที่ 20 (เนื่องจากชนเผ่ามาติดต่อกับมิชชันนารี)
การฟื้นฟูและการเคลื่อนไหวคริสเตียนต่างๆที่ได้มีอิทธิพลในการพัฒนาสังคม:
(ค.ศ. 325) การประชุมสภาไนเซียครั้งแรกเป็นการประชุมของผู้นำคริสเตียนใน ค.ศ. 325 ซึ่งนำไปสู่การรวมให้มีใจเดียวกันของศาสนาคริสต์ทั่วโลก รวมถึงการประณามลัทธินอกรีตและคำสอนที่ผิดพลาดต่างๆ น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่ชาติหลายชาติรวมกันด้วยความเชื่อเดียวกันยังนานาชาติจริงๆ
(ปลายศตวรรษที่ 3) การเคลื่อนไหวชีวิตอารามวาสี ซึ่งนำไปสู่ปัญญานิยม สังคมที่ยอมรับชีวิตที่อุทิศแด่พระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตที่ใช้เวลาในการอธิษฐาน และการศึกษาพระคัมภีร์ ในเวลาต่อมารวมถึงการเขียนสำเนาพระคัมภีร์ซ้ำๆและงานวรรณกรรมอื่นๆที่ขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางของปัญญานิยม
(ก่อนปี ค.ศ. 312, ค.ศ. 726-842 จักรวรรดิไบแซนไทน์) การเคลื่อนไหวการทำลายรูปเคารพ (iconoclasm) (ช่วงศตวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศาสนจักรที่รูปอัครสาวกและพระเยซูถูกทำลายเนื่องจากคำสอนในพระคัมภีร์ที่ต่อต้านการไหว้รูปเคารพ) นำไปสู่ยุคแห่งเหตุผลที่หลายคนเผชิญหน้ากับความเชื่อดั้งเดิมในเวทมนตร์และประเพณีการบูชารูปเคารพซึ่งพระคัมภีร์กล่าวโทษ คริสเตียนถูกบังคับให้ใช้เหตุผลมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา และแยกตัวเองออกจากชาวโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขา ภายหลังการเคลื่อนไหวทำลายรูปเคารพที่ใหญ่ที่สุดจะเกิดขึ้นระหว่างการปฏิรูปโปรเตสแตนต์
(ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส) วัลดินเซียน (ก่อตั้งโดยปีเตอร์ วัลโด ในปี ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส เป็นเวลานานก่อนการปฏิรูป คริสเตียนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศสห่างจากสังคมจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งเขารวมกับโปรเตสแตนต์ พวกเขาปฏิเสธคำสอนเท็จมากมายของคริสตจักรคาทอลิกและมิได้ยอมจำนนต่อพระสันตะปาปาหรือเจ้าหน้าที่คาทอลิกที่ปกครองยุโรปอย่างกษัตริย์ในขณะนั้น) นำไปสู่รูปแบบการปกครองคริสตจักรแบบท้องถิ่น และนำไปถึงการปกครองแบบท้องถิ่นในรัฐบาลทั่วไปเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าคริสตจักร (และรัฐบาล) ไม่จำเป็นต้องมีเผด็จการเพื่อดำเนินหน้าที่ แต่คริสตจักรสามารถดำเนินการโดยศิษยาภิบาลท้องถิ่นในระดับที่เล็กกว่ามาก
(1517 ค.ศ. ยุโรป) การปฏิรูปโปรเตสแตนต์นำไปสู่ยุคแห่งการตรัสรู้และการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
(ค.ศ.1730-1740 อเมริกา) การตื่นขึ้นครั้งใหญ่ (The Great Awakening) ได้เปิดทางให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมยังหยั่งรากลึกในคนอเมริกันถึงความสำคัญของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่น เสรีภาพในการพูด (การเทศนาในที่สาธารณะ) และเสรีภาพของสื่อมวลชน (เพื่อทำและจำหน่ายหนังสือเล่มเล็กที่คล้ายกับที่ท่านถืออยู่)
นักวิทยาศาสตร์ผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงบางคนซึ่งวิทยาศาสตร์ของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา:
ในช่วงเวลาก่อนยุควิทยาศาสตร์ บอกว่าไม่มีความต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักศาสนศาสตร์ก็ไม่ผิด จริงๆแล้วก่อนที่พระเยซูเสด็จมา นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นพวกนักปราชญ์ของโรม หลังจากศาสนาคริสต์กระจัดกระจายทั่วอาณาจักรโรม นักวิทยาศาสตร์กศนพวกนักบวชที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสร้าง เหตุผลอย่างนึงที่เป็นพวกนักบวชก็คงจะเพราะว่าเขามีเวลา ไม่ใช่แค่คริสเตียนแต่ยิวด้วย และในช่วงเวลาที่อิสลามกำลังขยาย นักวิทยาศาสตร์ในจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนมากก็เป็นคริสเตียนหรือยิว แต่ด้วยรวมนักวิทยาศาสตร์ในโลกก่อนยุควิทยาศาสตร์มีน้อยคน
แบลส ปาสกาล ค.ศ. 1623–1662
นักศาสนศาสตร์โรมันคาธอลิก การเดิมพันของปาสกาล (Pascal's wager) ได้ช่วยแสดงให้เห็นว่าทำไมถึงมีความเชื่อในพระเจ้า เขาได้คิดค้นสามเหลี่ยมของปาสกาล (Pascal’s triangle) สำหรับสัมประสิทธิ์ทวินาม และ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งทฤษฎีความน่าจะเป็น (probability theory) เขาคิดค้นเครื่องกดไฮดรอลิกและเครื่องคำนวณเชิงกล
โรเบิร์ต บอยล์ ค.ศ. 1627–1691
กล่าวว่าความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่สูงขึ้น เขาได้ตีความธาตุ (elements), สารประกอบ (compounds), และเนื้อสาร (mixtures) เขาได้ค้นพบกฎแก๊สข้อแรก – กฎของบอยล์ (Boyle's Law)
ไอแซก นิวตัน ค.ศ. 1643-1727
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ไม่เห็นด้วยกับคาทอลิกอย่างมาก เขาใช้เวลาในการศึกษาพระคัมภีร์มากกว่าคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจธรรมชาติของเราอย่างลึกซึ้งด้วยกฎความโน้มถ่วงสากลและกฎการเคลื่อนที่ของเขา เขาเป็นคนที่คิดค้นแคลคูลัส; และสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงเครื่องแรก เขาได้แสดงว่าแสงแดดสร้างมาจากสีรุ้งทั้งหมด เขามีไอคิว 190 ทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่
เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ค.ศ. 1707–1783
บุตรชายของศิษยาภิบาลคาลฟินอิสท์ (Calvinist) เขาได้เขียนข้อความศาสนศาสตร์ และเป็นที่ระลึกถึงของคริสตจักรลูเธอรันในปฏิทินนักบุญของพวกเขา เขาได้ตีพิมพ์คณิตศาสตร์มากกว่านักคณิตศาสตร์คนอื่นคนใดในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เขาได้ตีพิมพ์นั้นส่วนใหญ่สุดยอดและแปลกใหม่
อัลเบรทช์ ฟอน ฮาลเลอร์ ค.ศ. 1708–1777
ชาวโปรเตสแตนต์คนหนึ่งเขียนตำราศาสนศาสตร์ และช่วยจัดระเบียบการก่อสร้างโบสถ์ คริสตจักรปฏิรูปในเกิททิงเงน (Reformed Church in Göttingen) ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งสรีรวิทยาสมัยใหม่
อองตวน ลาวัวซิเยร์ ค.ศ. 1743–1794
ผู้นับถือนิกายโรมันคาธอลิก ซึ่งมีความเชื่อในความถูกต้องของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นผู้ก่อตั้งเคมีสมัยใหม่ เขาได้ค้นพบบทบาทของออกซิเจนในการเผาไหม้และการหายใจและเขาได้พบว่าน้ำเป็นสารประกอบของไฮโดรเจนและออกซิเจน
อเลสซานโดร โวลตา ค.ศ. 1745–1827
เป็นโรมันคาธอลิกที่ประกาศว่าเขาไม่เคยหวั่นไหวในความเชื่อของเขา เขาได้คิดค้นแบตเตอรี่ไฟฟ้าและได้เขียนชุดไฟฟ้าเคลื่อนที่ชุดแรก เขาเป็นคนที่แยกมีเทนได้เป็นครั้งแรก (isolated methane)
จอห์น ดาลตัน ค.ศ. 1766– 1844
เขาเป็นเควกเกอร์ (Quaker) ผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งอยู่อย่างพอประมาณ ทฤษฎีอะตอมของดาลตันเป็นพื้นฐานของเคมี เขาได้ค้นพบกฎของเก-ลุสแซกที่เกี่ยวกับอุณหภูมิ ปริมาตร และความดันของก๊าซ และได้ค้นพบกฎความดันก๊าซ
คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ค.ศ. 1777– 1855
เป็นโปรเตสแตนต์นิกายลูเสอรันที่เชื่อวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยจิตวิญญาณมนุษย์อมตะ และเขาเชื่อว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระเจ้า เกาส์ปฏิวัติทฤษฎีจำนวน และคิดค้นวิธีกำลังสองน้อยที่สุดและการแปลงฟูริเยร์แบบเร็ว ผลงานที่ลึกซึ้งของเขาในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ กฎของเกาส์และกฎของเกาส์สำหรับแม่เหล็ก
ฮัมฟรีย์ เดวี ค.ศ. 1778–1829
กล่าวว่าการออกแบบของพระเจ้าถูกเปิดเผยโดยการตรวจสอบทางเคมี เขาได้ค้นพบลักษณะทางไฟฟ้าของพันธะเคมี เขาได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อแยกสารหลายชนิดออกเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเป็นครั้งแรก ในเวลาเดียวกันได้ตรวจพบคลอรีนและไอโอดีน และได้ผลิตตัวอย่างธาตุแบเรียม โบรอน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม และสตรอนเทียมเป็นครั้งแรก เขาได้คิดค้นโคมไฟนิรภัย
ไมเคิล ฟาราเดย์ ค.ศ. 1791– 1867
เป็นสมาชิกผู้ซื่อสัตย์และเป็นผู้อาวุโสในคริสตจักรแซนเดเมเนียน เขาได้ค้นพบการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เขาได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างแสงกับแม่เหล็กในการทดลองครั้งแรก ดำเนินการทดลองเอาอากาศทำให้เป็นของเหลวโดยที่ยังคงอยู่อุณหภูมิห้องเป็นครั้งแรก
ชาร์ลส์ แบบเบจ ค.ศ. 1791– 1871
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ซื่อสัตย์ เขาได้เขียนบทหนึ่งของอัตชีวประวัติของเขาให้กับการอภิปรายเกี่ยวกับความเชื่อของเขา ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เขาได้คิดค้น Analytical Engine ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ Turing Complete ในปี ค.ศ. 1837 (พ.ศ. 2380) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ได้ทั่วไปเครื่องแรก
ซามูเอล มอร์ส ค.ศ. 1791– 1872
เป็นคาลฟินอิสท์ (Calvinist) ที่เคยให้ทุนงานการบรรยายโดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของพระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์ เขาได้มีส่วนร่วมในการประดิษฐ์โทรเลขแบบสายเดี่ยวและจดสิทธิบัตร เขาได้พัฒนารหัสมอร์ส
แมรี แอนนิ่ง ค.ศ. 1799–1847
เป็นแองกลิกันที่ซื่อสัตย์ เธอได้ใช้เวลาว่างในการอ่านพระคัมภีร์ เธอได้ค้นพบตัวอย่างที่สมบูรณ์ครั้งแรกของไดโนเสาร์ plesiosaur; และได้อนุมานอาหารของไดโนเสาร์
เกรเกอร์ เมนเดล ค.ศ. 1822– 1884
เป็นเจ้าอาวาสโรมันคาธอลิกออกัสติเนียน เขาได้ก่อตั้งศาสตร์แห่งพันธุศาสตร์ เขาได้ระบุกฎทางคณิตศาสตร์หลายประการของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและได้ระบุลักษณะด้อยและเด่น
วิลเลียม ทอมสัน (ลอร์ดเคลฟิน) ค.ศ. 1824– 1907
เป็นผู้อาวุโสของ Free Church of Scotland เขาได้ประมวลกฎหมายเสอร์โมไดนามิกส์สองข้อแรก เขาได้อนุมานว่าศูนย์สัมบูรณ์ของอุณหภูมิคือ -273.15 °C ในระดับเคลฟิน จะพบศูนย์สัมบูรณ์ที่ 0 เคลฟิน และเขาได้คิดค้นอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ใช้ในโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเครื่องแรกผ่านสายเคเบิลใต้ทะเล
แบร์นฮาร์ด รีมันน์ ค.ศ. 1826– 1866
เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลูเสอรัน คริสเตียนเข้มแข็งที่อธิษฐานคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเวลากำลังเสียชีวิต เขาได้เรขาคณิตที่แปลงร่างเป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ สมมติฐานของรีมันน์ได้กลายเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่มีชื่อเสียงที่สุดในวิชาคณิตศาสตร์
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ค.ศ. 1831– 1879
เป็นโปรเตสแตนต์ที่เชื่อพระคัมภีร์จริงๆ เขาได้ท่องพระคัมภีร์ด้วยใจเมื่ออายุ 14 ปี เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ: สมการที่มีชื่อเสียงของเขาได้รวมพลังของไฟฟ้าและแม่เหล็กเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีจลนศาสตร์ของเขากำหนดว่าอุณหภูมิขึ้นอยู่กับความเร็วของอนุภาคทั้งหมด
วิลลาร์ด กิ๊บส์ ค.ศ. 1839– 1903
สมาชิกของคริสตจักรคองกรีเกชันนัลที่เข้าร่วมพิธีทุกสัปดาห์ เขาได้คิดค้น Vector analysis และก่อตั้งวิทยาศาสตร์ของกลศาสตร์สถิติสมัยใหม่และอุณหพลศาสตร์เคมี
จอห์น แอมโบรส เฟลมมิ่ง ค.ศ. 1849– 1945
เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งที่เทศนาเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์พระเยซู เขาได้ก่อตั้งยุคอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการประดิษฐ์หลอดสุญญากาศ (thermionic valve) และได้คิดค้นกฎมือสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
เจ.เจ. ทอมสัน ค.ศ. 1856– 1940
เป็นแองกลิกันที่อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน เขาได้ค้นพบอิเล็กตรอนและได้คิดค้นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งในเคมีวิเคราะห์ – แมสสเปกโตรมิเตอร์ และเขาได้รับหลักฐานเบื้องต้นสำหรับไอโซโทปของธาตุที่เสถียร
จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ ค.ศ. 1864– 1943
เป็นผู้นักประกาศข่าวประเสริฐโปรเตสแตนต์และผู้นำชั้นเรียนพระคัมภีร์ ซึ่งความเชื่อของเขาในพระเยซูเป็นกลไกที่เขาทำงานทางวิทยาศาสตร์ เขาได้ปรับปรุงเศรษฐกิจการเกษตรของสหรัฐอเมริกาด้วยการส่งเสริมไนโตรเจนโดยให้ถั่วลิสงเป็นพืชทางเลือกแทนฝ้ายเพื่อป้องกันการพร่องของดิน
ชาร์ลส์ บาร์คลา ค.ศ. 1877– 1944
เป็นเมธอดิสต์ที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้าของเขา เขาพบว่าอะตอมมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากันกับเลขอะตอม และรังสีเอกซ์ที่ปล่อยออกมาจากอะตอมที่ตื่นเต้นจะเป็น 'ลายนิ้วมือ' ของอะตอม
อาเสอร์ เอดดิงทัน ค.ศ. 1882– 1944
เป็นเควกเกอร์ผู้เชื่อว่าพระเจ้าผู้ที่สร้างเราทรงยิ่งใหญ่ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เสนอว่าดาวได้รับพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชัน และเขาได้ตรวจสอบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์โดยการทดลอง
โรนัลด์ ฟิชเชอร์ ค.ศ. 1890– 1962
เป็นชาวแองกลิกันที่เข้มแข็ง: เขาได้ประกาศข่าวประเสริฐทางวิทยุ และเขียนบทความเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ เขาได้รวมวิวัฒนาการแบบครบวงจรโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติกับกฎการสืบทอดของเมนเดล ดังนั้นจึงกำหนดขอบเขตใหม่ของพันธุศาสตร์ของประชากร เขาได้คิดค้นการออกแบบทดลองและเขาได้คิดค้นแนวคิดทางสถิติของความแปรปรวน
อาเธอร์ คอมป์ตัน ค.ศ. 1892– 1962
เป็นมัคนายกในคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่แห่งหนึ่ง เขาได้ค้นพบว่าแสงสามารถทำหน้าที่เป็นอนุภาคและคลื่นได้ และสร้างคำว่าโฟทอน (photon) เพื่ออธิบายอนุภาคของแสง
จอร์จ เลอแมตร์ ค.ศ. 1894– 1966
เขาเป็นนักบวชนิกายโรมันคาธอลิก. เขาได้ค้นพบว่าอวกาศและจักรวาลกำลังขยายตัว และจะให้ค้นพบกฎของฮับเบิล เขาเป็นคนที่เสนอว่าเอกภพเริ่มต้นด้วยการระเบิดของ 'อะตอมยุคดึกดำบรรพ์' ซึ่งสสารแพร่กระจายและพัฒนาไปก่อตัวเป็นดาราจักรและดวงดาวที่เราสังเกตเห็นในปัจจุบัน
แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก ค.ศ. 1901– 1976
เป็นลูเธอรันที่มีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งกับคริสเตียน เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างหลักของกลศาสตร์ควอนตัม ได้กำหนดหลักการความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก
เออร์เนสต์ วอลตัน ค.ศ. 1903– 1995
เป็นเมธอดิสต์ที่เข้มแข็ง ผู้ซึ่งกล่าวว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิธีรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์หลังจากเขาแยกอะตอมและพิสูจน์ว่า E = mc2
จอห์น เอคเคิลส์ ค.ศ. 1903– 1997
เป็นคริสเตียน เขาเชื่อว่าการทรงดูแลของพระเจ้าดำรงอยู่เหนือเหตุการณ์ทางวัตถุของวิวัฒนาการทางชีววิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์จากผลงานด้านสรีรวิทยาของไซแนปส์
ชาร์ลส ทาวน์ส ค.ศ. 1915–2015
เขาเป็นสมาชิกของ United Church of Christ เขาใช้เวลาในการอธิษฐานทุกวัน และได้เขียนหนังสือเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และศาสนา เขาเชื่อว่าศาสนาสำคัญกว่าวิทยาศาสตร์ เขาคิดค้นเลเซอร์และเมเซอร์ ทางช้างเผือกมีหลุมดำมวลมหาศาลอยู่ตรงกลาง
ฟรานซิส คอลลินส์ ค.ศ. 1950 - ปัจจุบัน
ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า กลายเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง เขาได้คิดค้นการโคลนตำแหน่ง และเขามีส่วนร่วมในการค้นพบยีนสำหรับโรคซิสติกไฟโบรซิส โรคฮันติงตัน และโรคนิวโรไฟโบรมาโตซิส เขาได้กำกับสถาบันวิจัยจีโนมมนุษย์แห่งชาติเป็นเวลา 15 ปี
(แปลจาก: https://www.famousscientists.org/great-scientists-christians/)
3. เหตุผลทางประสบการณ์ส่วนตัว
เหตุผลนี้แหละน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้มากที่สุดสำหรับความเชื่อของเรา เป็นเหตุผลที่ใช้ในพระคัมภีร์ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่คริสเตียนใช้ได้
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวที่เราไม่ได้เกิดมาเป็นศาสนานี้ แต่ทุกคนที่เป็นคริสเตียนต้องมีประสบการณ์ส่วนตัว (การบังเกิดใหม่) อย่างไรก็ตาม 30% ของโลกบอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน นั่นคือ 1 ใน 3 คน บอกว่าเขาเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และกับพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าปรากฏเป็นมนุษย์ ในที่นี่ก็ควรจะบอกด้วยว่า เพราะศาสนายิว ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกข์ และศาสนาโซโรอัสเตอร์ มากกว่า 60% ของโลกเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เดียวซึ่งเป็นผู้สร้างของเรา คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าที่กล้าที่จะบอกว่าไม่มีพระเจ้าก็เป็นจำนวนน้อยคือแค่ 15% ของโลก ในความเป็นจริงแล้วผมก็ยังคิดว่าเลขนี้ก็สูงแต่ต้องเข้าใจว่าเหตุผลที่เลขนี้สูงขนาดนี้ก็เพราะอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ซึ่งห้ามให้มีศาสนา
ศาสนาคริสต์ที่แอฟริกา
- เปอร์เซ็นต์: 49% เป็นคริสเตียน นั่นคือ 400 ล้านคนเป็นโปรเตสแตนต์ และ 180 ล้านคนเป็นคาทอลิก มีออร์โธดอกซ์บางส่วนเช่นกัน 42% เป็นมุสลิม และส่วนที่เหลือเป็นศาสนาของชนเผ่าพื้นเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าภายใน 100 ปี แอฟริกาเปลี่ยนจากศาสนาของชนเผ่าส่วนใหญ่มาเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ภายใน 100 ปี แอฟริกาได้เปลี่ยนจาก 90% ที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน ไม่มีอาหารและน้ำพื้นฐาน ในยุคปัจจุบันมีเพียง 10% เท่านั้นที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน แอฟริกามีปัญหาร้ายแรงกับหลักคำสอนเท็จ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีและสวยงามที่จะเห็นแอฟริกาลุกขึ้นจากผงคลีดิน
- ข้อเท็จจริงของอียิปต์- 10% ของอียิปต์เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้มาจากรัฐบาลอียิปต์ที่ส่วนใหญ่เป็นอิสลาม มีกลุ่มอื่นๆประมาณการตัวเลขที่มีความน่าเชื่อถือกว่าคือ 19% คริสเตียนอียิปต์มีการศึกษาที่ดีกว่ามากและสร้างรายได้มากกว่าประชากรมุสลิม ในปี 1961 คริสเตียนอียิปต์เป็นเจ้าของธนาคาร 51% ของอียิปต์ ศาสนาคริสต์ในอียิปต์เสื่อมโทรมมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากหลายคนหนีจากการกดขี่ข่มเหง ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของอียิปต์ ก่อนที่จะมีการรุกรานโดยอิสลาม
-ข้อเท็จจริงของเอธิโอเปีย- 62% ของเอธิโอเปียเป็นคริสเตียน คริสต์ศาสนากลายเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของเอธิโอเปียในปี 330 ทำให้เป็นประเทศคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกา และเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นจากการขยายเขตของชาวมุสลิม (น่าจะเนื่องมาจากทางใต้ที่ห่างไกล การอพยพไปยังยุโรปจึงไม่ใช่ทางเลือกเหมือนในอียิปต์ ซีเรีย และคริสตจักรคริสเตียนอื่นๆ) มีชาวเอธิโอเปียคนนึงที่กลายเป็นคริสเตียนกล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่ ชาวเอธิโอเปียมีประชากรชาวยิวจำนวนมากมาเกือบ 3000 ปีแล้วเช่นกัน ตามประเพณีมีว่าหีบพันธสัญญาซ่อนอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเอธิโอเปีย
- คริสเตียน 2.1 ล้านคนในแอฟริกาเคยเป็นมุสลิม
ศาสนาคริสต์ในยุโรป
-เปอร์เซ็นต์: 73% ของยุโรประบุว่าเป็นคริสเตียน ประมาณ 46% เป็นคาทอลิก 35% เป็นออร์โธดอกซ์และ 18% เป็นโปรเตสแตนต์
ศาสนาคริสต์ในตะวันออกกลาง
เปอร์เซ็นต์: ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนประมาณ 20% แต่เนื่องจากการกดขี่ข่มเหงอย่างหนักในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาและประเทศตะวันตกที่นำกฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย คริสเตียนส่วนใหญ่ได้หลบหนีไปยังประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป หาเสรีภาพทางศาสนา น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวนมากถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีในนามของศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์เริ่มต้นในตะวันออกกลางจริงๆ ดังนั้นพอจะกล่าวได้ว่าในอดีตมีหลายครั้งที่ประเทศในตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในช่วงที่มุสลิมกำลังขยายอาณาเขต
- คริสต์ศาสนาซีเรีย- 12% ของชาวซีเรียเป็นคริสเตียน ในช่วงปลายจักรวรรดิออตโตมัน ชาวซีเรียส่วนใหญ่อพยพมาจากซีเรียเนื่องจากการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1840-1860 ตั้งแต่ พ.ศ. 2442 ถึง 2462 ชาวคริสต์ซีเรีย 900,000 คนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง คริสเตียนซีเรียมีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งและมีการศึกษาสูง ก่อนที่จะมีการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของซีเรีย
- คริสต์ศาสนาตุรกี- ในปี 1914 ชาวเติร์ก 25% เป็นคริสเตียน ในปี 1927 5% เป็นคริสเตียน และปัจจุบันมีเพียง 0.4% เท่านั้นที่เป็นคริสเตียน ตัวเลขที่แน่นอนนั้นยากต่อการรู้ เนื่องจากชาวตุรกีและชาวมุสลิมที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้ปกปิดความเชื่อของตนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหง จำนวนประชากรลดลงอย่างมากเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐานของคริสเตียนไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุโรปและอเมริกา ก่อนการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของตุรกี
- ประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลางประสบปัญหาการลดลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม บางประเทศประสบกับจำนวนประชากรคริสเตียนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2513 แม้ว่าจะมีการกดขี่ข่มเหง ประเทศเหล่านี้คือ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ศาสนาคริสต์ในเอเชีย
เปอร์เซ็นต์โดยรวม: 8% ของเอเชียเป็นคริสเตียน
เปอร์เซ็นต์ในเกาหลีใต้: 56% ของชาวเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในหมู่ผู้นับถือศาสนาในเกาหลีใต้ 63% เป็นคริสเตียน และ 34% เป็นชาวพุทธ
เปอร์เซ็นต์ในประเทศจีน: จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แบบปิดซึ่งห้ามไม่ให้มีคริสเตียนเชื่อพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนประมาณการว่าประมาณ 2% ของประชากรเป็นคริสเตียน แหล่งข่าวภายนอกท้าทายตัวเลขเหล่านี้ และแนะนำว่า 5% หรือมากกว่านั้นอาจแม่นยำกว่าเมื่อพิจารณาถึงคริสตจักรบ้านที่ผิดกฎหมาย
เปอร์เซ็นต์ในญี่ปุ่น: 1.5% อย่างไรก็ตาม ศาสนาคริสต์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและถูกมองในแง่ดีจากคนญี่ปุ่นทั่วไป โดยชาวญี่ปุ่นมากกว่า 60% เลือกที่จะจัดงานแต่งงานแบบคริสเตียนในโบสถ์
เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย: 1% มีเปอร์เซ็นต์ต่ำสุดในเอเชีย (ใน wikipedia มีเพจหนึ่งที่ชื่อ "organized crime in thailand" ที่อธิบายสาเหตุที่ประเทศไทยมีอาชญากรรมเยอะ บทความนี้บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ ผมก็จะไม่พูดอย่างนั้นเพราะกลัวกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมของประเทศนี้ แต่ผมจะเสนอว่า หลายอย่างของประเทศไทยพร้อมสำหรับการเจริญเติบโต แต่ทำไมถึงไม่ยอมโตสักที สำหรับผมพูดง่ายๆก็คือ มีความเชื่อที่ผิดเยอะ กระทำที่ชั่วก็จะตามมา ถ้าประเทศไทยเป็นคริสเตียนก็คงเจริญเร็ว หรือไม่ก็ต้องเจอน้ำมันเยอะๆเหมือนประเทศแขก ;)
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเขาในประเทศไทย: ประมาณว่ากว่าครึ่งของชาวเขาในประเทศไทยตอนนี้เป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นเพราะคำทำนายที่สำเร็จตามประเพณีของพวกเขาเอง เช่น ชาวต่างชาตินำหนังสือที่หายไปกลับมา ซึ่งมิชชันนารีอธิบายว่าต้องเป็นพระคัมภีร์ และความเชื่อในผู้สร้าง ท่ามกลางประเด็นทั่วไปอื่นๆ ในพระคัมภีร์
ศาสนาคริสต์ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
เปอร์เซ็นต์ในออสเตรเลีย: 52%
เปอร์เซ็นต์ในนิวซีแลนด์: 49%
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวอะบอริจิน (ชาวออสเตรเลีย) 55%
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเมารี (ชาวพื้นเมือง Nz) ประมาณว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นชาวเมารีเฉพาะของศาสนาคริสต์ซึ่งรักษาประเพณีของชาวเมารี แต่ยอมรับหลักคำสอนคริสเตียน (ตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศไทย)
ศาสนาคริสต์ในอเมริกาเหนือ
เปอร์เซ็นต์โดยรวม 77%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดา 67%
เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกัน 65%
เปอร์เซ็นต์ของชนพื้นเมืองอเมริกัน (สหรัฐอเมริกา) 66%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแอฟริกันอเมริกัน 85%
เปอร์เซ็นต์ในเม็กซิโก (รวมเปอร์เซ็นต์โปรเตสแตนต์และอัตราการเติบโต) คริสเตียน 88% คาทอลิก 82% โปรเตสแตนต์ 6.6
ศาสนาคริสต์ในอเมริกาใต้
เปอร์เซ็นต์โดยรวม (คาทอลิกและโปรเตสแตนต์) 83%, 59% เป็นคาทอลิกและ 20% เป็นโปรเตสแตนต์ (ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคข้อมูลของเราเนื่องจากความจริงมีความสำคัญมากกว่าประเพณี)
- อัตราการเติบโตของโปรเตสแตนต์: เป็นเวลากว่า 200 ปีที่ชาวคาทอลิกมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของอเมริกาใต้ จนถึงปี 1960 เมื่อโปรเตสแตนต์เริ่มเติบโตอย่างมากจากเพียง 5% เป็น 20% ที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ประท้วงมีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองของอเมริกาใต้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา
สถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ทั่วโลก
- 25% ของชาวมุสลิมที่เข้าเป็นคริสเตียน มองเห็นความฝันหรือนิมิตพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์
- 65% ของผู้ชนะรางวัลโนเบลในศตวรรษที่ผ่านมาเป็นคริสเตียน (ที่น่าแปลกใจเพราะว่าคณะกรรมการมีแนวคิดแบบสายจัดต่อต้านคริสเตียนมากขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา)
- พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือที่มีการแปลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มักเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ในภาษาต่างๆ ที่เป็นภาษาปากตามประเพณี (รวมถึงภาษาชาวเขาของไทยและภาษาถิ่นอื่นๆ เช่น ภาษาถิ่นใต้ ซึ่งปกติจะไม่เขียนออกมาแต่พูดด้วยวาจาเท่านั้น)
- คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ภาษาไทยโดยใช้แท่นพิมพ์ ต้นฉบับอยู่ในพิพิธภัณฑสถานอังกฤษ น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่ยอมรับความสำคัญของพระคัมภีร์
ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่เป็นคริสเตียน
พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้าและทรงเป็นจอกของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรักษาส่วนมรดกของข้าพระองค์ไว้ เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี ข้าพเจ้าถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานคำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า เออ ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้า จึงยินดีและจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์ ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย -สดุดี 16:5-9
เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงยกย่องพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ -สดุดี 18:49
ข้าพระองค์จะบอกเล่าพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน -สดุดี 22:22
พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ -สดุดี 26:7
เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข -สดุดี 34:8
แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ -สดุดี 35:28
พระองค์ได้ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนมากมายจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระยาห์เวห์ -สดุดี 40:3
ข้าพระองค์ได้ประกาศข่าวดีเรื่องการช่วยกู้ ในชุมนุมชนใหญ่ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงทราบแล้ว ข้าพระองค์มิได้ยับยั้งริมฝีปากของข้าพระองค์ไว้เลย ข้าพระองค์มิได้เก็บงำการชอบธรรมของพระองค์ไว้แต่ในใจ ข้าพระองค์ได้พูดถึงความซื่อสัตย์และความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ไว้จากชุมนุมชนใหญ่ -สดุดี 40:9-10
บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง -สดุดี 66:16
ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์ คือพระราชกิจที่ช่วยให้รอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนพระราชกิจนั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะนำเรื่องกิจการอันทรงอานุภาพของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้วย ข้าพระองค์จะสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียว ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆ มา และข้าพระองค์จะประกาศถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา -สดุดี 71:15-18
และลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์วันยังค่ำ เพราะผู้ที่หาทางทำอันตรายข้าพระองค์ จะอับอายและอดสู -สดุดี 71:24
จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ให้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงไถ่ไว้แล้วกล่าวดังนั้นเถิด คือผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมือของคู่อริ -สดุดี 107:1-2
ข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระโอวาทของพระองค์เฉพาะพระพักตร์บรรดาพระราชา และจะไม่อับอาย -สดุดี 119:46
คนรุ่นหนึ่งจะยกย่องพระราชกิจของพระองค์ ให้คนอีกรุ่นหนึ่งฟัง และจะประกาศกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ ข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงความยิ่งใหญ่ในศักดิ์ศรีอันสูงส่งของพระองค์ และตรึกตรองถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงอานุภาพแห่งกิจการอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาทั้งหลายจะเล่าขานถึงคุณความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงด้วยความยินดีถึงความชอบธรรมของพระองค์ -สดุดี 145:4-7
เขาทั้งหลายจะกล่าวถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ -สดุดี 145:11
และในวันนั้น พวกท่านจะกล่าวว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์ จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย จงให้พวกเขารำลึกว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู “จงร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำกิจอันดีเลิศ จงให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก ชาวศิโยนเอ๋ย จงโห่ร้องและเปล่งเสียงด้วยความยินดี เพราะว่าองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลนั้นทรงยิ่งใหญ่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน” -อิสยาห์ 12:4-6
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกไว้ เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ก่อนหน้าเราไม่มีเทพเจ้าใดถูกปั้นขึ้น และภายหลังเราก็จะไม่มี -อิสยาห์ 43:10
พระยาห์เวห์ทรงนำความยุติธรรมออกมาให้เรา มาเถิด ให้เราประกาศพระราชกิจ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราในศิโยน -เยเรมีย์ 51:10
และบรรดาคนฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงท้องฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์ -ดาเนียล 12:3
ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ -มัทธิว 5:16
และจะมอบพวกท่านให้เจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเรา เพื่อว่าพวกท่านจะได้เป็นพยานแก่พวกเขาและแก่พวกต่างชาติ -มัทธิว 10:18
“เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ -มัทธิว 10:32
ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง -มัทธิว 24:14
แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของท่านที่บ้าน แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร และเล่าถึงพระเมตตาที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ท่าน” -มาระโก 5:19
“จงกลับไปที่บ้านของท่านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อท่าน” เขาก็ไปและประกาศให้คนทั้งเมืองทราบถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงทำต่อเขา -ลูกา 8:39
“และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า -ลูกา 12:8-9
ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ -ยอห์น 4:28-30
ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยิวว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคือพระเยซู -ยอห์น 5:15
ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง -ยอห์น 5:31
และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านอยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว -ยอห์น 15:27
เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน” -กิจการ 4:20
พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อไปถึงแล้วท่านทั้งสองจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว ยิวในเมืองนี้มีใจยอมรับมากกว่ายิวในเมืองเธสะโลนิกา เพราะพวกเขารับพระวจนะด้วยความอยากรู้และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจริงดังที่กล่าวหรือไม่ -กิจการ 17:10-11
พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึก ของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน และข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า -1 โครินธ์ 2:1-5
และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย -2 โครินธ์ 4:13
จงต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ให้มั่น คือชีวิตที่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านไปรับ ในตอนที่ท่านกล่าวคำยอมรับอันดีต่อหน้าพยานหลายคน -1 ทิโมธี 6:12
เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นอาจารย์ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อับอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้า จนถึงวันพิพากษา ได้ -2 ทิโมธี 1:8-12
เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างชั่วร้ายและอิจฉาริษยา ถูกชิงชังและเกลียดกัน แต่เมื่อความดีเลิศและความรักของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรามาปรากฏ พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพื่อว่าเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว ก็จะได้เป็นผู้รับมรดกตามที่หวังไว้คือชีวิตนิรันดร์ -ทิตัส 3:3-7
ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของเรา เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน” -ฮีบรู 2:12
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยาน มากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา -ฮีบรู 12:1
แต่ในใจของพวกท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน -1 เปโตร 3:15
เพราะว่าเราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ -2 เปโตร 1:16
เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา) สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา จะได้เต็มเปี่ยม -1 ยอห์น 1:1-4
นี่แหละคือผู้ที่ได้มาด้วยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยาน เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง -1 ยอห์น 5:6
และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ -1 ยอห์น 5:11
เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น -วิวรณ์ 6:9
พวกเขาชนะมารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย -วิวรณ์ 12:11
และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและยึดถือคำพยานของพระเยซู -วิวรณ์ 12:17
แล้วข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านเพื่อจะนมัสการท่าน แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพี่น้องของท่านที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด” เพราะว่าคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ -วิวรณ์ 19:10
ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นได้รับมอบอำนาจในการพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกตัดศีรษะเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา เขาทั้งหลายกลับมีชีวิตขึ้นอีกและครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี -วิวรณ์ 20:4