THAI TOPICAL TRACTS
  • Home
  • หนังสือเล่มเล็กสอนพระคัมภีร์ตามหัวข้
    • พระกิตติคุณ (The Gospel)
    • พระเจ้ามีจริง (God is Real)
    • พระเจ้าเป็นความรัก (God is love)
    • พระเจ้าทรงแสนดี (God is good)
    • พระตรีเอกานุภาพ (The Trinity)
    • พระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง (Prosperity gospel)
    • การบังเกิดใหม่ด้วยการตัดสินใจ (Decisional regeneration)
    • นรกนิรันดร์ (Eternal Hell)
    • การอธิษฐาน (Prayer)
    • ความอดทนถึงความสำเร็จของผู้เชื่อ (Perseverance of the saints)
    • การต่อต้านพยานพระยะโฮวา (JW rejected)
    • 40 คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (40 messianic propho
    • การเปรียบเทียบศาสนาอิสลาม (Islam compared)
    • ศาสนาพุทธจากมุมมองพระคัมภีร์ (Buddhism compared)
    • การไหว้รูปเคารพ (Idolatry)
    • ความกลัว (Fear)
    • การผูกมัดเจตจำนง (The bondage of the will by Martin Luther)
    • พระบัญญัติ 10 ประการ
    • วันคริสต์มาส (Christmas)
    • ชีวิตแต่งงาน (marriage)
    • การตีสอนลูก (Child discipline)
    • มารซาตาน (Satan and evil spirits))
    • ตะกละ (Gluttony)
    • ส.ล.ด.พ.อ. (T.U.L.I.P.)
    • Government (ผู้ปกครองเมือง)
    • 40 อุปมาของพระเยซู (40 parables)
    • การต่อสู้ (fighting)
    • ความโกรธ (anger)
    • พระบัญชา (The Great Commission)
    • ธุรกิจและการทำงาน (Business and work)
  • แผ่นท่องจำบทพระคัมภีร์ที่แนะนำ
  • บรรณาธิการ & ภารกิจ (Editor & Mission)
  • Blog
  • ติดต่อ (contact)
Picture
right click to save and print on a4 paper for the tract cover

เลือกดาวน์โหลด... ซ้ายมือสำหรับทำรูปแบบหนังสือ ขวามือสำหรับรูปแบบมือถือหรือแผ่นใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ
Choose a download... left for booklet, right for digital or other use.


ภาษาไทย

a4 Duplex printing booklet download
In sequential order download
Cover with additional message

พระเจ้ามีจริง
God is real.
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
คำว่าวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นคำที่น่ากลัวถ้าเราจะพูดถึงศาสนาและความเชื่อ แต่ในความเป็นจริงวิทยาศาสตร์พูดถึงการศึกษาโลกวัตถุ เพราะฉะนั้นถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่าง สิ่งที่พระเจ้าสร้างน่าจะแสดงหลักฐานถึงพระเจ้าพระผู้สร้าง 
อย่างไรก็ตามหลักฐานวิทยาศาสตร์สำหรับพระเจ้า ก็จะมีจำกัดเพราะว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณและดำรงอยู่นอกโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถสร้างการทดลองเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า

แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า เราสามารถยืนยันได้ว่าโลกวัตถุนี้ ได้มีการเริ่มต้น ทั้งเวลา เนื้อที่และวัตถุมีการเริ่มต้นและมีเวลาในอดีตที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่มี และเพราะสิ่งเหล่านี้ก็ต้องยอมรับว่ามีอะไรนอกจากโลกวัตถุนี้ ที่ได้ทำให้จักรวาลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทฤษฎีบิ๊กแบง ได้ยืนยันว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณด้วย (เพื่อการโต้แย้งฉันจะบอกว่า สิ่งที่อยู่นอกโลกวัตถุนี้เป็นโลกวิญญาณ เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้)

บิ๊กแบง- 
ในปี ค.ศ. 1929 Edwin hubble ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เจอว่าจักรวาลนี้กำลังขยายไปข้างนอก และได้เจอว่ามีกาแล็กซี่อื่นนอกจากทางช้างเผือก (milkyway) ของเรา และเขาได้เจอว่าดาวที่ไกลที่สุดจากโลกขยายออกไปเร็วกว่าดาวที่อยู่ใกล้ การค้นพบแรกในที่นี้มีความสำคัญทางศาสนศาสตร์ ถ้าจักรวาลกำลังขยายออกไป ก็ต้องมีจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจในครั้งแรกที่ได้เจอ เพราะว่าก่อนที่ Edwin hubble นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากก็เข้าใจว่าจักรวาลมีอยู่ตลอดและไม่มีจุดเริ่มต้น (แม้แต่เขาเข้าใจว่าชีวิตมีการเริ่มต้น แต่จักรวาลมีอยู่ตลอดในความเข้าใจของเขา) การที่เจอว่าจักรวาลนี้มีสิ้นสุดมีทั้งจุดเริ่มต้นและวันสุดท้ายเป็นการสนับสนุน หลักข้อเชื่อของคริสเตียน "เอ็กซ์นีลีโอ" ซึ่งแปลว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างจากความว่างเปล่า

The law of conservation of mass- "… ไม่มีอะไรใหม่สามารถเกิดขึ้นได้และไม่มีอะไรจะสามารถจบสิ้นไปเช่นเดียวกัน …. ซึ่งจะต้องหมายความว่า ความเข้าใจถึงบิ๊กแบงของผู้ที่บอกว่ามีวัตถุเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นความเข้าใจที่ผิดมากและไร้สาระ ในขณะที่เรารู้ว่าจักรวาลมีการเริ่มต้นและทุกอย่างที่เป็นวัตถุได้มีการเริ่มต้น ก็ต้องมีสาเหตุที่อาศัยอยู่ข้างนอกโลกวัตถุ (คือจักรวาลของเรา) ที่ทำให้จักรวาลของเราได้เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ถ้าจักรวาลของเราถูกสร้างโดยโลกวิญญาณ (โลกวิญญาณหมายความว่าทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกโลกวัตถุ) มีความเป็นไปได้สูงว่า มีบุคคลที่เป็นวิญญาณหลายๆผู้ (คือถ้าโลกวิญญาณเป็นเหมือนโลกวัตถุ ก็คงเป็นอย่างนั้น) และถ้าวิญญาณต่างๆทุกสร้างเช่นเดียวกัน ก็ต้องมีวิญญาณแรกที่สร้างวิญญาณอื่น (รวมถึงสิ่งของต่างๆที่เป็นวิญญาณ) วิญญาณแรกที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง คือพระเจ้าพระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีที่สิ้นสุดในฤทธานุภาพ พระองค์รู้ทุกอย่าง พระองค์อาศัยอยู่นอกเวลา ถึงพระองค์บอกว่า "เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน” (วิวรณ์ 22:13) และอาศัยอยู่ทุกที่เวลาเดียวกัน (สดุดี 139:7-10) ลักษณะของโลกวิญญาณและลักษณะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราจะไม่รู้นอกจากว่าได้ปรากฏให้เราเห็น ลักษณะของพระเจ้าได้ปรากฏให้เราเห็นผ่านทาง ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง พระวจนะ (คือพระคัมภีร์) และพระวาทะ (พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์)

เหตุผลเชิงจักรวาลวิทยา (Kalams cosmilogical argument)- 
1. สิ่งใดก็ตามที่มีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่มีต้นเหตุ
2. จักรวาลนั้นมีจุดเริ่มต้นดำรงอยู่
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีต้นเหตุให้ดำรงอยู่

ข้อพระคัมภีร์บางข้อเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์:
เพราะนี่แน่ะ คนอธรรมโก่งธนู และเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว เพื่อจะยิงในความมืดให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม   -สดุดี 11:2
ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คือการค้นสิ่งนั้นให้ปรากฏ   -สุภาษิต 25:2
...พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น   -ฮีบรู 11:3
ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป   -โรม 1:20-21 

2. เหตุผลทางประวัติศาสตร์:
ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

โบราณคดีเป็นการศึกษา ของโบราณ อนุสาวรีย์ อุโมงค์ และเครื่องมือโบราณต่างๆของ อารยธรรมโบราณต่างๆ ทั้งคนและเหตุการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักเพราะบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เท่านั้น ก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงเวลา ขุดค้นเมืองโบราณ อย่างสม่ำเสมอพระคัมภีร์ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ขอให้เราดูตัวอย่างบางอย่างด้วยกัน:

องุ่นในอียิปต์:
ในปฐมกาลบทที่ 40 พระคัมภีร์บอกว่า โยเซฟได้แปลฝันของพ่อบ้านของฟาโรห์ ในฝันของเขาได้พูดถึงองุ่น แต่นักประวัติศาสตร์ของสมัยโบราณ เหโรโดทัส ได้บอกว่า ชาวอียิปต์ไม่ได้ปลูกองุ่น และก็ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น ซึ่งทำให้บางคนสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในข้อนี้ แต่พอนักโบราณคดีได้เจอรูปวาดในอุโมงค์ของอียิปต์ เป็นรูปการตัดแต่งกิ่ง และการปลูกเถาองุ่น รวมถึงระบบการผลิตน้ำองุ่น มีรูปภาพคนเมาอีกด้วย ตอนนี้ไม่มีความสงสัยเลยว่า เหโรโดทัส คิดผิดและพระคัมภีร์ถูก

อิฐของปิธม
ในอพยพ 1:11 พระคัมภีร์บอกว่า ชนชาติอิสราเอลได้สร้างเมืองสมบัติ ปิธมและเมืองราเมเสสสำหรับฟาโรห์ ในปฐมกาลบทที่ 5 พระคัมภีร์บอกว่า ต้องผลิตอิฐด้วยฟางในช่วงแรกและหลังจากนั้นใช้ตอข้าวมาแทนฟาง เพราะว่าอียิปต์ไม่ให้ใช้เพื่อจุดประสงค์นั้น ในปี ค.ส. 1883 Naville, และในปี ค.ส. 1908, kyle, ได้เจอที่ ปิธม ซึ่งเป็นเมืองนึงที่ได้ถูกสร้างโดยอิสราเอล อิฐในบริเวณต่ำๆของบ้านผลิตโดยใช้ฟาง ส่วนตรงกลางใช้ฟางน้อยกว่าเดิมรวมกับตอข้าว และชั้นบนสุดผลิตด้วยดินเหนียวเปล่าๆ เป็นเรื่องที่ยากที่จะไม่ประหลาดใจในความถูกต้องของพระคัมภีร์ในเหตุการณ์นี้

ชาวฮิตไทต์
พระคัมภีร์ได้พูดถึงชาวฮิตไทต์ 48 ครั้ง เราเห็นชาวฮิตไทต์กำลังขวางทางในเวลาที่ชาวอิสราเอลพยายามเข้าแผ่นดินแห่งพระสัญญา เราอ่านเกี่ยวกับอุรียาห์คนฮิตไทต์ซึ่งเป็นคนที่กษัตริย์ดาวิดส่งไปถึงความตาย อย่างไรก็ตาม ในการบันทึกโบราณวัตถุทั้งหมดไม่มีการอ้างถึงชาวฮิตไทต์สักครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่สงสัยก็จะบอกว่าพระคัมภีร์แต่งเรื่องขึ้นมาเอง แต่ในปี ค.ส. 1876 Goerge smith ได้เริ่มที่จะศึกษาอนุสาวรีย์ของสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เจราบีในเอเชียไมเนอร์ ที่แห่งนี้เป็นเมือง old carchemish ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ ฮัตติโบราณ ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ฮัตติ ก็เป็นชาวฮิตไทต์ที่ได้พูดถึงในพระคัมภีร์ ซึ่ง ศ.เอ.เอช.เซย์เซ ได้บอกว่า "เปรียบเทียบกับอาณาจักรอียิปต์และอัสซีเรียได้เลย" ในที่สุดโบราณคดีได้พิสูจน์ว่า ชาวฮิตไทต์มีจริง แต่ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆในสมัยโบราณ

ซาร์กอน:
ใน อิสยาห์ 20:1 เราอ่านว่า "ในปีที่ผู้บัญชาการใหญ่ซึ่งถูกส่งมาจากซาร์กอน พระราชาของอัสซีเรียได้มาถึงเมืองอัชโดดและต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้" อันนี้ก็เป็นครั้งเดียวในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงกษัตริย์ ซาร์กอน และเป็นครั้งเดียวที่ได้พูดถึงในวรรณกรรมโบราณ เพราะฉะนั้นมีหลายคนสงสัยว่ามีจริงๆไหม แต่ในปี ค.ส. 1842-1845 พี.อี.บอทต้า ได้เปิดเผยราชวังของกษัตริย์ซาร์กอน ระหว่างสิ่งต่างๆที่ได้เจอในเวลานั้น ก็มีการบันทึก การยึดเมืองอัชโดดที่อิสยาห์ได้พูดถึง เป็นอีกหนึ่งครั้งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างถูกต้องแต่ผู้ที่สงสัยคิดผิด 

น้ำท่วมโลก
ในปฐมกาลบทที่ 7 และ 8 ได้พูดถึงการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมใหญ่ สำหรับหลายคนเขาคิดว่าการที่น้ำท่วมใหญ่นี้เป็นเหมือนนิทาน แต่มีหลักฐานค่อนข้างมากที่มาจากข้างนอกพระคัมภีร์ที่ได้สนับสนุนเรื่องที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ จงสังเกตดูเรื่องเล่าเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกของมนุษย์โบราณหลายๆชนชาติ มีนักโบราณคดีคนหนึ่งบอกว่ามีเรื่องเล่าอย่างนี้ยังน้อย 88 ครั้ง ของหลายๆกลุ่ม เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยกันว่า มีการทำลายโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยการที่น้ำท่วมใหญ่ เกือบทุกเรื่องเห็นด้วยว่าเรือเป็นหนทางที่ได้รอดจากน้ำท่วม เกือบทุกเรื่องพูดถึงการที่มนุษย์ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการมีลูก หลายเรื่องเหล่านี้ก็พูดถึงความชั่วของมนุษย์ที่ได้ทำให้น้ำท่วมเกิดขึ้น และบางเรื่องขอใช้ชื่อโนอาด้วย บางเรื่องก็พูดถึงนกที่ได้ส่งออกไปและได้พูดถึงการถวายบูชาถวายให้เทพเจ้าต่างๆเวลาได้รับความรอดจากน้ำท่วม สำหรับใครที่เคยได้ยินเรื่องน้ำท่วมโลกเขาก็จะประหลาดใจในความคล้ายกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ความคล้ายและจำนวนชนชาติที่ได้เล่าเรื่องนี้ต่อๆกันไปตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการสนับสนุนเรื่องที่ได้บันทึกไว้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ใครบางคนนั้นจินตนาการไปเอง
ในปี ค.ส. 1872 Goerge smith ได้เจอ แผ่นศิลาน้ำท่วมของบาบิโลน ตอนนี้มีชื่อเสียงแล้ว ในแผ่นศิลานี้ มีคนๆหนึ่งที่สร้างเรือและเอาสัตว์ทุกชนิดขึ้นไปบนเรือ ซึ่งได้รับคำสั่งเรื่องขนาดเรือที่มีความเฉพาะเจาะจง และได้รับคำสั่งว่าต้องใช้น้ำมันดินเพื่ออุดรู เขาเอาทั้งครอบครัวขึ้นไปบนเรือพร้อมกับอาหาร มีพายุที่หนักมากซึ่งเป็นเวลา 6 วัน เรือได้ลงบนภูเขาที่ชื่อ ภูเขานาซีร์ เขาส่งนกพิราบออกไปและมันก็ได้บินกลับมา เขาส่งนกนางแอ่นออกไป มันก็กลับมาเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาส่งนกกาออกไปและมันก็บินมาบินไปอยู่บนโลก หลังจากที่ปลอดภัยได้ออกจากเรือแล้วพวกเขาได้ถวายบูชาเทพเจ้าของเขา จริงๆแล้วเรื่องนี้ตรงกับพระคัมภีร์บางอย่าง แต่ก็มีความคล้ายค่อนข้างมาก พอที่จะทำให้สงสัย ตั้งคำถามถึงประวัติศาสตร์ของน้ำท่วมนี้
มากกว่านั้น นักโบราณคดีได้เจอหลักฐานโครงการน้ำท่วมใหญ่ในเมืองโบราณต่างๆ ที่เมืองซูซ่าในอียิปต์ มีชั้นดินหนาประมาณ 2 เมตร ระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ของเมืองซูซ่าโบราณ อันนี้ก็เป็นหลักฐานว่าเมืองซูซ่าโดนทำลายด้วยน้ำท่วมที่ใหญ่มาก ที่เมือง เออร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอับราฮัม เขาได้เจอชั้นดินเหนียวหนาประมาณ 3 เมตร ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเมือง เออร์ ได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมเป็นขนาดใหญ่พอๆกับที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีหลักฐานเยอะแยะมากมายแต่ ที่พูดถึงตอนนี้ก็คงจะพอที่จะให้เห็นว่าน้ำท่วมโลกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้เกิดขึ้นจริง

เยรีโค:
โยชูวา 6 ได้อธิบายว่า อิสราเอลได้พิชิตเมืองเยรีโค ซึ่งมีกำแพงใหญ่รอบเมือง ชาวอิสราเอลได้เดินรอบเมือง 1 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 วัน ในวันที่ 7 เดินรอบเมืองกี่ครั้ง หลังจากนั้นพวกปุโรหิตเป่าแตร และชาวอิสราเอลร้องด้วยเสียงดัง เวลาทำเช่นนี้ "กำแพงก็พังลงราบ" (โยชูวา 6:20) ชาวอิสราเอลรีบเข้าและเผาเมือง เขาไม่ได้เอาอะไรเป็นของตัวเอง เขาช่วย ราหับ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านติดกำแพง ซึ่งเป็นคนที่เคยช่วยเขาเมื่อก่อนหน้านี้
เริ่มต้นในปี  ค.ส. 1929 ดร.จอห์น การ์สแตง ขุดซากปรักหักพังของเมืองเยริโคโบราณ สิ่งที่เขาได้เจอตรงกับที่อ่านในพระคัมภีร์มาก เขาเจอว่าเยรีโค มีกำแพง 2 ชั้น ด้วยมีบ้านสร้างระหว่าง 2 ชั้นนั้นซึ่งตรงกับที่อ่านเกี่ยวกับราหับ ว่าบ้านอยู่ในกำแพง และเขาได้พบว่ากำแพงได้พังลงมาเหมือนแผ่นดินไหวและไม่ได้ลงข้างในแต่ลงไปทางด้านนอก เหมือนที่พระคัมภีร์บอก "กำแพงก็พังลงราบ" ถ้าสมมุติว่าใช้ไม้ทุบตี กำแพงก็จะพังลงมาด้านในแทนที่จะพังออกมาทางด้านนอก มากกว่านั้นคือเขาพบหลักฐานว่าทั้งเมืองโดนเผา โบราณคดีได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สำเร็จราชการชื่อเสอร์จีอัส เปาลุส:
ในกิจการ 13:7 พระคัมภีร์ได้พูดถึง เสอร์จีอัส เปาลุส ผู้สำเร็จราชการของไซปรัส เป็นช่วงเวลายาวนานที่ผู้ที่คลางแครงจะยืนยันว่าลูกาควรจะเรียกเขาว่า propraetor แทน ผู้สำเร็จราชการ เพราะว่าอันนี้เป็นตำแหน่งที่ปกติ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีได้เจอเหรียญที่ไซปรัส ที่ยืนยันอย่างแน่นอนว่า governors ของไซปรัส ก็เป็น ผู้สำเร็จราชการ มีเหรียญอันนึงที่ได้เจอที่ soli ที่ ไซปรัส มีจารึกไว้ว่า "ผู้สำเร็จราชการ เปาลุส" ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังอ้างถึงคนๆเดียวกัน
การยืนยันของบุคคลนอกพระคัมภีร์ เช่น มีนักประวัติศาสตร์ชาวยิวของสมัยพระเยซู ชื่อ Josephus ซึ่งได้เขียนบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ยกตัวอย่าง: ในมัทธิว 14:3-4 "เฮโรดทรงจับยอห์นล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ชายาของฟีลิปพระอนุชาของพระองค์ เพราะยอห์นเคยทูลพระองค์ว่า “พระองค์ไม่มีสิทธิ์รับนางนั้นมาเป็นพระชายา" Josephus ได้ช่วยอธิบายว่าทำไมถึงผิดกฎหมาย คือตอนแรก เฮโรเดียส ได้แต่งงานกับ น้องชายเฮโรด ที่ชื่อ ฟีลิป แต่ผู้หญิงเลิกกับฟีลิป เพื่อจะแต่งกับเฮโรด คือการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามกฎบัญญัติ เป็นเหตุผลที่ยอห์นได้แก้ไขเฮโรด ในที่นี่เรื่องที่ Josephus เล่าให้เราฟัง ตรงกับพระคัมภีร์อย่างแม่นยำ มีเรื่องที่บันทึกในพระคัมภีร์ที่ได้ถูกยืนยันความถูกต้องจากบุคคลนอกพระคัมภีร์ 
(แปลจาก: http://www.lavistachurchofchrist.org/LVarticles/HistoricalAccuracyOfTheBible.htm)

ความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์ เสนอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า 
มีเหตุผลเยอะแยะมากมายที่ทำให้หลายคนสงสัยถึงความถูกต้องของพระคัมภีร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า พระคัมภีร์ไม่มีข้อเท็จจริงที่ยืนยันความรู้ของเราเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงพระคัมภีร์มีเยอะ พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์ก็กล่าวได้อย่างถูกต้อง ในความเป็นจริง มีหลายครั้งที่พระคัมภีร์สนับสนุนแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับงานเขียนอื่นๆในสมัยนั้น ขอให้เราดูตาม :

รูปทรงดวงโลก:
คือพระองค์ประทับเหนือหลังคาโค้งของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางมันออกเหมือนเต็นท์สำหรับอาศัย   -อิสยาห์ 40:22
ข้อนี้กำลังจะบอกว่าโลกเป็นทรงกลม แทนที่จะแบนแบบที่หลายคนคิดในสมัยนั้น 

ดวงโลกลอยอยู่ในความว่างเปล่า:
พระองค์ทรงคลี่อุดร ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า   -โยบ 26:7
ข้อนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าวัฒนธรรมอื่นในสมัยนั้น จะชอบบอกว่าโลกตั้งอยู่บนหลังสัตว์ คน หรือ เสา 

ดวงดาวมีนับไม่ถ้วน:
พระองค์จึงพาอับรามออกมาข้างนอกแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้าสิ ถ้าเจ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไป” แล้วพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น”   -ปฐมกาล 15:5

มีหุบเขาอยู่ใต้ทะเล:
และก้นทะเลก็ปรากฏ อีกทั้งรากของพิภพก็เผยโฉม ตามการกำราบของพระยาห์เวห์ ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์   -2 ซามูเอล 22:16 

มีน้ำพุใต้ทะเล:
เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 600 ปี ในเดือนที่สองวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำพุใต้บาดาลที่ลึกมากทั้งหมดก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิด   -ปฐมกาล 7:11 ดูที่ ปฐมกาล 8:2, สุภาษิต 8:28 ด้วย

กระแสน้ำในมหาสมุทร: 
ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์  เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้  พระองค์ทรงให้เขาปกครองผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าเขา  ตลอดทั้งนกบนฟ้า ปลาในทะเล และสิ่งใดๆ ที่แหวกว่ายอยู่ตามทะเล   -สดุดี 8:1, 3-3, 6, 8

วัฏจักรอุทกวิทยา:
พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆก็ไม่ปริออกเพราะน้ำนั้น   -โยบ 26:8
เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป มันกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์  ซึ่งเมฆเทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม  -โยบ 36:27-28
ความสง่างามทั้งสิ้น ได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน แล้ว พวกเจ้านายของเธอก็เป็นดุจฝูงกวาง ที่หาทุ่งหญ้าไม่พบ และหมดแรงหนี ต่อหน้าผู้ไล่ล่า  ז (ซายิน)  เยรูซาเล็มในยามทุกข์ยากและยามพลัดบ้าน ได้หวนระลึกถึง ของล้ำค่าทั้งสิ้น ที่ตนเคยมีในครั้งกระโน้น เธอระลึกได้เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในมือของคู่อริ และหามีผู้ใดจะสงเคราะห์เธอไม่ พวกคู่อริเห็นเธอแล้ว ก็เยาะเย้ยความล่มจมของเธอ  ח (เฆท)
เพลงคร่ำครวญ 1:6-7

แนวคิดของเอนโทรปี:
(จากวิกิพีเดีย: เอนโทรปี (อังกฤษ: entropy) มาจากภาษากรีก εν (en) แปลว่าภายใน รวมกับ τρέπω (trepo) แปลว่า "หมุนกลับ กลับหลังหัน หรือ หนี" ถือเป็นหัวใจของกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพที่เกิดขึ้นเองทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ความแตกต่างของ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ แรงดัน ความหนาแน่น หรือค่าอื่น ๆ ในระบบค่อย ๆ น้อยลงจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งต่างจากกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึงการอนุรักษ์พลังงาน) 
ในกาลก่อนพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์  สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป   -สดุดี 102:25-26

ลักษณะสุขภาพที่ดี ความสะอาด และเชื้อโรค: 
เรื่องนี้ก็ยาวเกินไปที่จะเขียนไว้แค่หน้านี้ แต่แนะนำให้ไปอ่าน เลวีนิติ 12-14
(แปลจาก: https://carm.org/the-bible/scientific-accuracies-of-the-bible/)

การพัฒนาและการประสบความสำเร็จของวัฒนธรรม จูดีโอ-คริสเตียน ทั้งสิ้น
เบื้องหลังการพัฒนาทางสังคมและความเจริญต่างๆ ที่ใหญ่ๆ คือการฟื้นฟูคริสเตียน ในที่นี้ก็จะพูดถึงบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากการฟื้นฟูคริสเตียน:
บางอย่างที่ถูกยกเลิกเพราะอิทธิพลของศาสนาคริสต์: 

ในจักรวรรดิโรมัน:

ยุติการการทำแท้งและการทิ้งเด็กแรกเกิด (ในจักรวรรดิโรมัน ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องปกติที่จะทิ้งเด็กในป่าหรือบนภูเขาเพื่อให้สัตว์มากินโดยเฉพาะลูกสาวเพราะคิดว่าสำคัญน้อยกว่าผู้ชาย) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 3 
ยุติการกิจกรรมผิดศีลธรรมทางเพศ (กิจกรรมทางเพศเสื่อมทรามอย่างมากในจักรวรรดิโรมัน การมีเพศสัมพันธ์หมู่เป็นเรื่องธรรมดา และการมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กชายและผู้หญิงถือเป็นทรัพย์สินก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ขยายไปทั่วอาณาจักรโรมัน) -อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 4
ยุติการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ (ชาวโรมันส่งเสริมการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ที่โหดร้าย ซึ่งมีทาสและอาชญากรที่ถูกประณามฆ่ากันเพื่อความสนุกสนาน) อาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 5

ยุติการประเพณีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาต่าง ๆ ทั่วโลก:
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในประเทศไทยที่จะยุติการ ซึ่งจะมีการถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชาในช่วงก่อตั้งเมืองใหม่ การถวายเครื่องบูชาซึ่งอาจจะเป็นหญิงมีครรภ์ถูกฝังไว้ใต้เสาหลักเมืองแห่งหนึ่ง (หลักเมือง) โดยเชื่อว่าวิญญาณจะปกป้องเมือง (เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของคนสมัยก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอนหรือไม่ แต่การที่พยานเป็นคนไทยทำให้มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง)  -  ศตวรรษที่ 19 อาณาจักรไทย
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในแอฟริกาที่จะยุติการ การฆ่าภรรยาและนางสนมเมื่อหัวหน้าเผ่าเสียชีวิตในแอฟริกา  -ศตวรรษที่ 19 แอฟริกา
การกดดันจากตะวันตกและมิชชันนารีต่างๆในอินเดียที่จะยุติการ สุทัตในอินเดีย การเผาหญิงม่ายบนกองเพลิงศพของสามี -1829 ค.ศ. อินเดีย

อื่นๆ:
ยุติการการค้าขายทาส- ศตวรรษที่ 19
การไม่รู้หนังสือลดลงอย่างรวดเร็ว (อิทธิพลของคริสเตียนได้ส่งเสริมการรู้หนังสือในเกือบทุกประเทศบนโลกใบนี้ รวมประเทศไทยด้วย หนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ (Gutenberg press นำเข้าจากสิงคโปร์) ในประเทศไทยเป็นพระคัมภีร์ใบปลิวที่แปลและพิมพ์โดยมิชชันนารี มีให้ชมในพิพิธภัณฑ์ลอนดอนเท่านั้นเพราะประเทศไทยไม่ต้องการ) ศตวรรษที่ 19 ถึงปัจจุบัน
การลดประเพณีการกินเนื้อคน- ทั่วโลกในศตวรรษที่ 20 (เนื่องจากชนเผ่ามาติดต่อกับมิชชันนารี)

การฟื้นฟูและการเคลื่อนไหวคริสเตียนต่างๆที่ได้มีอิทธิพลในการพัฒนาสังคม:
(ค.ศ. 325) การประชุมสภาไนเซียครั้งแรกเป็นการประชุมของผู้นำคริสเตียนใน ค.ศ. 325 ซึ่งนำไปสู่การรวมให้มีใจเดียวกันของศาสนาคริสต์ทั่วโลก รวมถึงการประณามลัทธินอกรีตและคำสอนที่ผิดพลาดต่างๆ น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่ชาติหลายชาติรวมกันด้วยความเชื่อเดียวกันยังนานาชาติจริงๆ 

(ปลายศตวรรษที่ 3) การเคลื่อนไหวชีวิตอารามวาสี ซึ่งนำไปสู่ปัญญานิยม สังคมที่ยอมรับชีวิตที่อุทิศแด่พระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตที่ใช้เวลาในการอธิษฐาน และการศึกษาพระคัมภีร์ ในเวลาต่อมารวมถึงการเขียนสำเนาพระคัมภีร์ซ้ำๆและงานวรรณกรรมอื่นๆที่ขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางของปัญญานิยม

(ก่อนปี ค.ศ. 312, ค.ศ. 726-842 จักรวรรดิไบแซนไทน์) การเคลื่อนไหวการทำลายรูปเคารพ (iconoclasm) (ช่วงศตวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศาสนจักรที่รูปอัครสาวกและพระเยซูถูกทำลายเนื่องจากคำสอนในพระคัมภีร์ที่ต่อต้านการไหว้รูปเคารพ) นำไปสู่ยุคแห่งเหตุผลที่หลายคนเผชิญหน้ากับความเชื่อดั้งเดิมในเวทมนตร์และประเพณีการบูชารูปเคารพซึ่งพระคัมภีร์กล่าวโทษ  คริสเตียนถูกบังคับให้ใช้เหตุผลมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา และแยกตัวเองออกจากชาวโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขา  ภายหลังการเคลื่อนไหวทำลายรูปเคารพที่ใหญ่ที่สุดจะเกิดขึ้นระหว่างการปฏิรูปโปรเตสแตนต์

(ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส) วัลดินเซียน (ก่อตั้งโดยปีเตอร์ วัลโด ในปี ค.ศ. 1170 ฝรั่งเศส เป็นเวลานานก่อนการปฏิรูป คริสเตียนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศสห่างจากสังคมจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งเขารวมกับโปรเตสแตนต์ พวกเขาปฏิเสธคำสอนเท็จมากมายของคริสตจักรคาทอลิกและมิได้ยอมจำนนต่อพระสันตะปาปาหรือเจ้าหน้าที่คาทอลิกที่ปกครองยุโรปอย่างกษัตริย์ในขณะนั้น) นำไปสู่รูปแบบการปกครองคริสตจักรแบบท้องถิ่น และนำไปถึงการปกครองแบบท้องถิ่นในรัฐบาลทั่วไปเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าคริสตจักร (และรัฐบาล) ไม่จำเป็นต้องมีเผด็จการเพื่อดำเนินหน้าที่ แต่คริสตจักรสามารถดำเนินการโดยศิษยาภิบาลท้องถิ่นในระดับที่เล็กกว่ามาก

(1517 ค.ศ. ยุโรป) การปฏิรูปโปรเตสแตนต์นำไปสู่ยุคแห่งการตรัสรู้และการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์

(ค.ศ.1730-1740 อเมริกา) การตื่นขึ้นครั้งใหญ่ (The Great Awakening) ได้เปิดทางให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมยังหยั่งรากลึกในคนอเมริกันถึงความสำคัญของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่น เสรีภาพในการพูด (การเทศนาในที่สาธารณะ) และเสรีภาพของสื่อมวลชน (เพื่อทำและจำหน่ายหนังสือเล่มเล็กที่คล้ายกับที่ท่านถืออยู่)

นักวิทยาศาสตร์ผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงบางคนซึ่งวิทยาศาสตร์ของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา:
ในช่วงเวลาก่อนยุควิทยาศาสตร์ บอกว่าไม่มีความต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักศาสนศาสตร์ก็ไม่ผิด จริงๆแล้วก่อนที่พระเยซูเสด็จมา นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นพวกนักปราชญ์ของโรม หลังจากศาสนาคริสต์กระจัดกระจายทั่วอาณาจักรโรม นักวิทยาศาสตร์กศนพวกนักบวชที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสร้าง เหตุผลอย่างนึงที่เป็นพวกนักบวชก็คงจะเพราะว่าเขามีเวลา ไม่ใช่แค่คริสเตียนแต่ยิวด้วย และในช่วงเวลาที่อิสลามกำลังขยาย นักวิทยาศาสตร์ในจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนมากก็เป็นคริสเตียนหรือยิว แต่ด้วยรวมนักวิทยาศาสตร์ในโลกก่อนยุควิทยาศาสตร์มีน้อยคน 
แบลส ปาสกาล ค.ศ. 1623–1662
นักศาสนศาสตร์โรมันคาธอลิก  การเดิมพันของปาสกาล (Pascal's wager) ได้ช่วยแสดงให้เห็นว่าทำไมถึงมีความเชื่อในพระเจ้า  เขาได้คิดค้นสามเหลี่ยมของปาสกาล (Pascal’s triangle)  สำหรับสัมประสิทธิ์ทวินาม และ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งทฤษฎีความน่าจะเป็น (probability theory)  เขาคิดค้นเครื่องกดไฮดรอลิกและเครื่องคำนวณเชิงกล
โรเบิร์ต บอยล์ ค.ศ. 1627–1691
กล่าวว่าความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่สูงขึ้น เขาได้ตีความธาตุ (elements), สารประกอบ (compounds), และเนื้อสาร (mixtures)  เขาได้ค้นพบกฎแก๊สข้อแรก – กฎของบอยล์ (Boyle's Law)
ไอแซก นิวตัน ค.ศ. 1643-1727
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ไม่เห็นด้วยกับคาทอลิกอย่างมาก เขาใช้เวลาในการศึกษาพระคัมภีร์มากกว่าคณิตศาสตร์และฟิสิกส์  เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจธรรมชาติของเราอย่างลึกซึ้งด้วยกฎความโน้มถ่วงสากลและกฎการเคลื่อนที่ของเขา เขาเป็นคนที่คิดค้นแคลคูลัส;  และสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงเครื่องแรก  เขาได้แสดงว่าแสงแดดสร้างมาจากสีรุ้งทั้งหมด เขามีไอคิว 190 ทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่  
เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ค.ศ. 1707–1783
บุตรชายของศิษยาภิบาลคาลฟินอิสท์ (Calvinist)  เขาได้เขียนข้อความศาสนศาสตร์ และเป็นที่ระลึกถึงของคริสตจักรลูเธอรันในปฏิทินนักบุญของพวกเขา  เขาได้ตีพิมพ์คณิตศาสตร์มากกว่านักคณิตศาสตร์คนอื่นคนใดในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เขาได้ตีพิมพ์นั้นส่วนใหญ่สุดยอดและแปลกใหม่
อัลเบรทช์ ฟอน ฮาลเลอร์ ค.ศ. 1708–1777
ชาวโปรเตสแตนต์คนหนึ่งเขียนตำราศาสนศาสตร์ และช่วยจัดระเบียบการก่อสร้างโบสถ์ คริสตจักรปฏิรูปในเกิททิงเงน (Reformed Church in Göttingen)  ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งสรีรวิทยาสมัยใหม่
อองตวน ลาวัวซิเยร์ ค.ศ. 1743–1794
ผู้นับถือนิกายโรมันคาธอลิก ซึ่งมีความเชื่อในความถูกต้องของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์  เขาเป็นผู้ก่อตั้งเคมีสมัยใหม่  เขาได้ค้นพบบทบาทของออกซิเจนในการเผาไหม้และการหายใจและเขาได้พบว่าน้ำเป็นสารประกอบของไฮโดรเจนและออกซิเจน
อเลสซานโดร โวลตา ค.ศ. 1745–1827
เป็นโรมันคาธอลิกที่ประกาศว่าเขาไม่เคยหวั่นไหวในความเชื่อของเขา  เขาได้คิดค้นแบตเตอรี่ไฟฟ้าและได้เขียนชุดไฟฟ้าเคลื่อนที่ชุดแรก  เขาเป็นคนที่แยกมีเทนได้เป็นครั้งแรก (isolated methane)
จอห์น ดาลตัน ค.ศ. 1766– 1844
เขาเป็นเควกเกอร์ (Quaker) ผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งอยู่อย่างพอประมาณ  ทฤษฎีอะตอมของดาลตันเป็นพื้นฐานของเคมี  เขาได้ค้นพบกฎของเก-ลุสแซกที่เกี่ยวกับอุณหภูมิ ปริมาตร และความดันของก๊าซ  และได้ค้นพบกฎความดันก๊าซ
คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ค.ศ. 1777– 1855
เป็นโปรเตสแตนต์นิกายลูเสอรันที่เชื่อวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยจิตวิญญาณมนุษย์อมตะ และเขาเชื่อว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระเจ้า  เกาส์ปฏิวัติทฤษฎีจำนวน และคิดค้นวิธีกำลังสองน้อยที่สุดและการแปลงฟูริเยร์แบบเร็ว  ผลงานที่ลึกซึ้งของเขาในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ กฎของเกาส์และกฎของเกาส์สำหรับแม่เหล็ก
ฮัมฟรีย์ เดวี ค.ศ. 1778–1829
 กล่าวว่าการออกแบบของพระเจ้าถูกเปิดเผยโดยการตรวจสอบทางเคมี เขาได้ค้นพบลักษณะทางไฟฟ้าของพันธะเคมี เขาได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อแยกสารหลายชนิดออกเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเป็นครั้งแรก ในเวลาเดียวกันได้ตรวจพบคลอรีนและไอโอดีน  และได้ผลิตตัวอย่างธาตุแบเรียม โบรอน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม และสตรอนเทียมเป็นครั้งแรก  เขาได้คิดค้นโคมไฟนิรภัย
ไมเคิล ฟาราเดย์ ค.ศ. 1791– 1867
 เป็นสมาชิกผู้ซื่อสัตย์และเป็นผู้อาวุโสในคริสตจักรแซนเดเมเนียน  เขาได้ค้นพบการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า  เขาได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างแสงกับแม่เหล็กในการทดลองครั้งแรก  ดำเนินการทดลองเอาอากาศทำให้เป็นของเหลวโดยที่ยังคงอยู่อุณหภูมิห้องเป็นครั้งแรก
ชาร์ลส์ แบบเบจ ค.ศ. 1791– 1871
เป็นโปรเตสแตนต์ที่ซื่อสัตย์ เขาได้เขียนบทหนึ่งของอัตชีวประวัติของเขาให้กับการอภิปรายเกี่ยวกับความเชื่อของเขา ถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เขาได้คิดค้น Analytical Engine ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ Turing Complete ในปี ค.ศ. 1837 (พ.ศ. 2380) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ได้ทั่วไปเครื่องแรก
ซามูเอล มอร์ส ค.ศ. 1791– 1872
เป็นคาลฟินอิสท์ (Calvinist) ที่เคยให้ทุนงานการบรรยายโดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของพระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์  เขาได้มีส่วนร่วมในการประดิษฐ์โทรเลขแบบสายเดี่ยวและจดสิทธิบัตร  เขาได้พัฒนารหัสมอร์ส
แมรี แอนนิ่ง ค.ศ. 1799–1847
เป็นแองกลิกันที่ซื่อสัตย์ เธอได้ใช้เวลาว่างในการอ่านพระคัมภีร์  เธอได้ค้นพบตัวอย่างที่สมบูรณ์ครั้งแรกของไดโนเสาร์ plesiosaur;  และได้อนุมานอาหารของไดโนเสาร์
เกรเกอร์ เมนเดล ค.ศ. 1822– 1884
เป็นเจ้าอาวาสโรมันคาธอลิกออกัสติเนียน  เขาได้ก่อตั้งศาสตร์แห่งพันธุศาสตร์  เขาได้ระบุกฎทางคณิตศาสตร์หลายประการของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและได้ระบุลักษณะด้อยและเด่น
วิลเลียม ทอมสัน (ลอร์ดเคลฟิน) ค.ศ. 1824– 1907
เป็นผู้อาวุโสของ Free Church of Scotland เขาได้ประมวลกฎหมายเสอร์โมไดนามิกส์สองข้อแรก เขาได้อนุมานว่าศูนย์สัมบูรณ์ของอุณหภูมิคือ -273.15 °C  ในระดับเคลฟิน จะพบศูนย์สัมบูรณ์ที่ 0 เคลฟิน  และเขาได้คิดค้นอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ใช้ในโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเครื่องแรกผ่านสายเคเบิลใต้ทะเล
แบร์นฮาร์ด รีมันน์ ค.ศ. 1826– 1866
เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลูเสอรัน  คริสเตียนเข้มแข็งที่อธิษฐานคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเวลากำลังเสียชีวิต เขาได้เรขาคณิตที่แปลงร่างเป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์  สมมติฐานของรีมันน์ได้กลายเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่มีชื่อเสียงที่สุดในวิชาคณิตศาสตร์
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ค.ศ. 1831– 1879 
เป็นโปรเตสแตนต์ที่เชื่อพระคัมภีร์จริงๆ เขาได้ท่องพระคัมภีร์ด้วยใจเมื่ออายุ 14 ปี เขาได้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ: สมการที่มีชื่อเสียงของเขาได้รวมพลังของไฟฟ้าและแม่เหล็กเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ทฤษฎีจลนศาสตร์ของเขากำหนดว่าอุณหภูมิขึ้นอยู่กับความเร็วของอนุภาคทั้งหมด
วิลลาร์ด กิ๊บส์ ค.ศ. 1839– 1903
 สมาชิกของคริสตจักรคองกรีเกชันนัลที่เข้าร่วมพิธีทุกสัปดาห์  เขาได้คิดค้น Vector analysis และก่อตั้งวิทยาศาสตร์ของกลศาสตร์สถิติสมัยใหม่และอุณหพลศาสตร์เคมี
จอห์น แอมโบรส เฟลมมิ่ง ค.ศ. 1849– 1945
เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งที่เทศนาเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์พระเยซู  เขาได้ก่อตั้งยุคอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการประดิษฐ์หลอดสุญญากาศ (thermionic valve)  และได้คิดค้นกฎมือสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
เจ.เจ. ทอมสัน ค.ศ. 1856– 1940
เป็นแองกลิกันที่อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน  เขาได้ค้นพบอิเล็กตรอนและได้คิดค้นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งในเคมีวิเคราะห์ – แมสสเปกโตรมิเตอร์  และเขาได้รับหลักฐานเบื้องต้นสำหรับไอโซโทปของธาตุที่เสถียร
จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ ค.ศ. 1864– 1943
เป็นผู้นักประกาศข่าวประเสริฐโปรเตสแตนต์และผู้นำชั้นเรียนพระคัมภีร์ ซึ่งความเชื่อของเขาในพระเยซูเป็นกลไกที่เขาทำงานทางวิทยาศาสตร์  เขาได้ปรับปรุงเศรษฐกิจการเกษตรของสหรัฐอเมริกาด้วยการส่งเสริมไนโตรเจนโดยให้ถั่วลิสงเป็นพืชทางเลือกแทนฝ้ายเพื่อป้องกันการพร่องของดิน
ชาร์ลส์ บาร์คลา ค.ศ. 1877– 1944
เป็นเมธอดิสต์ที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้าของเขา  เขาพบว่าอะตอมมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากันกับเลขอะตอม และรังสีเอกซ์ที่ปล่อยออกมาจากอะตอมที่ตื่นเต้นจะเป็น 'ลายนิ้วมือ' ของอะตอม
อาเสอร์ เอดดิงทัน ค.ศ. 1882– 1944
เป็นเควกเกอร์ผู้เชื่อว่าพระเจ้าผู้ที่สร้างเราทรงยิ่งใหญ่ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เสนอว่าดาวได้รับพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชัน  และเขาได้ตรวจสอบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์โดยการทดลอง
โรนัลด์ ฟิชเชอร์ ค.ศ. 1890– 1962
เป็นชาวแองกลิกันที่เข้มแข็ง: เขาได้ประกาศข่าวประเสริฐทางวิทยุ และเขียนบทความเกี่ยวกับศาสนศาสตร์  เขาได้รวมวิวัฒนาการแบบครบวงจรโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติกับกฎการสืบทอดของเมนเดล ดังนั้นจึงกำหนดขอบเขตใหม่ของพันธุศาสตร์ของประชากร  เขาได้คิดค้นการออกแบบทดลองและเขาได้คิดค้นแนวคิดทางสถิติของความแปรปรวน
อาเธอร์ คอมป์ตัน ค.ศ. 1892– 1962
เป็นมัคนายกในคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่แห่งหนึ่ง  เขาได้ค้นพบว่าแสงสามารถทำหน้าที่เป็นอนุภาคและคลื่นได้ และสร้างคำว่าโฟทอน (photon) เพื่ออธิบายอนุภาคของแสง
จอร์จ เลอแมตร์ ค.ศ. 1894– 1966
เขาเป็นนักบวชนิกายโรมันคาธอลิก.  เขาได้ค้นพบว่าอวกาศและจักรวาลกำลังขยายตัว  และจะให้ค้นพบกฎของฮับเบิล  เขาเป็นคนที่เสนอว่าเอกภพเริ่มต้นด้วยการระเบิดของ 'อะตอมยุคดึกดำบรรพ์' ซึ่งสสารแพร่กระจายและพัฒนาไปก่อตัวเป็นดาราจักรและดวงดาวที่เราสังเกตเห็นในปัจจุบัน
แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก ค.ศ. 1901– 1976
เป็นลูเธอรันที่มีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งกับคริสเตียน  เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างหลักของกลศาสตร์ควอนตัม  ได้กำหนดหลักการความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก
เออร์เนสต์ วอลตัน ค.ศ. 1903– 1995
เป็นเมธอดิสต์ที่เข้มแข็ง ผู้ซึ่งกล่าวว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิธีรู้จักพระเจ้ามากขึ้น  ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์หลังจากเขาแยกอะตอมและพิสูจน์ว่า E = mc2
จอห์น เอคเคิลส์ ค.ศ. 1903– 1997 
เป็นคริสเตียน เขาเชื่อว่าการทรงดูแลของพระเจ้าดำรงอยู่เหนือเหตุการณ์ทางวัตถุของวิวัฒนาการทางชีววิทยา  เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์จากผลงานด้านสรีรวิทยาของไซแนปส์
ชาร์ลส ทาวน์ส ค.ศ. 1915–2015
เขาเป็นสมาชิกของ United Church of Christ  เขาใช้เวลาในการอธิษฐานทุกวัน  และได้เขียนหนังสือเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และศาสนา  เขาเชื่อว่าศาสนาสำคัญกว่าวิทยาศาสตร์  เขาคิดค้นเลเซอร์และเมเซอร์  ทางช้างเผือกมีหลุมดำมวลมหาศาลอยู่ตรงกลาง
ฟรานซิส คอลลินส์ ค.ศ. 1950  - ปัจจุบัน
ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า กลายเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง เขาได้คิดค้นการโคลนตำแหน่ง  และเขามีส่วนร่วมในการค้นพบยีนสำหรับโรคซิสติกไฟโบรซิส โรคฮันติงตัน และโรคนิวโรไฟโบรมาโตซิส  เขาได้กำกับสถาบันวิจัยจีโนมมนุษย์แห่งชาติเป็นเวลา 15 ปี
(แปลจาก: https://www.famousscientists.org/great-scientists-christians/)

3. เหตุผลทางประสบการณ์ส่วนตัว
เหตุผลนี้แหละน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้มากที่สุดสำหรับความเชื่อของเรา เป็นเหตุผลที่ใช้ในพระคัมภีร์ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่คริสเตียนใช้ได้ 
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวที่เราไม่ได้เกิดมาเป็นศาสนานี้ แต่ทุกคนที่เป็นคริสเตียนต้องมีประสบการณ์ส่วนตัว (การบังเกิดใหม่) อย่างไรก็ตาม 30% ของโลกบอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน นั่นคือ 1 ใน 3 คน บอกว่าเขาเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และกับพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าปรากฏเป็นมนุษย์ ในที่นี่ก็ควรจะบอกด้วยว่า เพราะศาสนายิว ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกข์ และศาสนาโซโรอัสเตอร์ มากกว่า 60% ของโลกเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เดียวซึ่งเป็นผู้สร้างของเรา คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าที่กล้าที่จะบอกว่าไม่มีพระเจ้าก็เป็นจำนวนน้อยคือแค่ 15% ของโลก ในความเป็นจริงแล้วผมก็ยังคิดว่าเลขนี้ก็สูงแต่ต้องเข้าใจว่าเหตุผลที่เลขนี้สูงขนาดนี้ก็เพราะอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ซึ่งห้ามให้มีศาสนา

ศาสนาคริสต์ที่แอฟริกา
- เปอร์เซ็นต์: 49% เป็นคริสเตียน นั่นคือ 400 ล้านคนเป็นโปรเตสแตนต์ และ 180 ล้านคนเป็นคาทอลิก มีออร์โธดอกซ์บางส่วนเช่นกัน  42% เป็นมุสลิม และส่วนที่เหลือเป็นศาสนาของชนเผ่าพื้นเมือง  เป็นที่น่าสังเกตว่าภายใน 100 ปี แอฟริกาเปลี่ยนจากศาสนาของชนเผ่าส่วนใหญ่มาเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่  นอกจากนี้ ภายใน 100 ปี แอฟริกาได้เปลี่ยนจาก 90% ที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน ไม่มีอาหารและน้ำพื้นฐาน ในยุคปัจจุบันมีเพียง 10% เท่านั้นที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจน  แอฟริกามีปัญหาร้ายแรงกับหลักคำสอนเท็จ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีและสวยงามที่จะเห็นแอฟริกาลุกขึ้นจากผงคลีดิน
- ข้อเท็จจริงของอียิปต์- 10% ของอียิปต์เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้มาจากรัฐบาลอียิปต์ที่ส่วนใหญ่เป็นอิสลาม มีกลุ่มอื่นๆประมาณการตัวเลขที่มีความน่าเชื่อถือกว่าคือ 19%  คริสเตียนอียิปต์มีการศึกษาที่ดีกว่ามากและสร้างรายได้มากกว่าประชากรมุสลิม  ในปี 1961 คริสเตียนอียิปต์เป็นเจ้าของธนาคาร 51% ของอียิปต์  ศาสนาคริสต์ในอียิปต์เสื่อมโทรมมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากหลายคนหนีจากการกดขี่ข่มเหง  ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของอียิปต์ ก่อนที่จะมีการรุกรานโดยอิสลาม
-ข้อเท็จจริงของเอธิโอเปีย- 62% ของเอธิโอเปียเป็นคริสเตียน คริสต์ศาสนากลายเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของเอธิโอเปียในปี 330  ทำให้เป็นประเทศคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกา และเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นจากการขยายเขตของชาวมุสลิม (น่าจะเนื่องมาจากทางใต้ที่ห่างไกล การอพยพไปยังยุโรปจึงไม่ใช่ทางเลือกเหมือนในอียิปต์ ซีเรีย และคริสตจักรคริสเตียนอื่นๆ) มีชาวเอธิโอเปียคนนึงที่กลายเป็นคริสเตียนกล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่  ชาวเอธิโอเปียมีประชากรชาวยิวจำนวนมากมาเกือบ 3000 ปีแล้วเช่นกัน ตามประเพณีมีว่าหีบพันธสัญญาซ่อนอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเอธิโอเปีย
- คริสเตียน 2.1 ล้านคนในแอฟริกาเคยเป็นมุสลิม

ศาสนาคริสต์ในยุโรป
-เปอร์เซ็นต์:  73% ของยุโรประบุว่าเป็นคริสเตียน ประมาณ 46% เป็นคาทอลิก 35% เป็นออร์โธดอกซ์และ 18% เป็นโปรเตสแตนต์

ศาสนาคริสต์ในตะวันออกกลาง
เปอร์เซ็นต์: ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนประมาณ 20% แต่เนื่องจากการกดขี่ข่มเหงอย่างหนักในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาและประเทศตะวันตกที่นำกฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย คริสเตียนส่วนใหญ่ได้หลบหนีไปยังประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป หาเสรีภาพทางศาสนา  น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวนมากถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีในนามของศาสนาอิสลาม  ศาสนาคริสต์เริ่มต้นในตะวันออกกลางจริงๆ ดังนั้นพอจะกล่าวได้ว่าในอดีตมีหลายครั้งที่ประเทศในตะวันออกกลางเป็นคริสเตียนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในช่วงที่มุสลิมกำลังขยายอาณาเขต
- คริสต์ศาสนาซีเรีย- 12% ของชาวซีเรียเป็นคริสเตียน  ในช่วงปลายจักรวรรดิออตโตมัน ชาวซีเรียส่วนใหญ่อพยพมาจากซีเรียเนื่องจากการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1840-1860  ตั้งแต่ พ.ศ. 2442 ถึง 2462 ชาวคริสต์ซีเรีย 900,000 คนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง  คริสเตียนซีเรียมีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งและมีการศึกษาสูง  ก่อนที่จะมีการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของซีเรีย
 - คริสต์ศาสนาตุรกี- ในปี 1914 ชาวเติร์ก 25% เป็นคริสเตียน ในปี 1927 5% เป็นคริสเตียน และปัจจุบันมีเพียง 0.4% เท่านั้นที่เป็นคริสเตียน  ตัวเลขที่แน่นอนนั้นยากต่อการรู้ เนื่องจากชาวตุรกีและชาวมุสลิมที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้ปกปิดความเชื่อของตนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหง  จำนวนประชากรลดลงอย่างมากเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐานของคริสเตียนไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุโรปและอเมริกา ก่อนการรุกรานจากอิสลาม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของตุรกี
- ประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลางประสบปัญหาการลดลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการย้ายถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม บางประเทศประสบกับจำนวนประชากรคริสเตียนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2513 แม้ว่าจะมีการกดขี่ข่มเหง ประเทศเหล่านี้คือ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ศาสนาคริสต์ในเอเชีย 
เปอร์เซ็นต์โดยรวม: 8% ของเอเชียเป็นคริสเตียน
เปอร์เซ็นต์ในเกาหลีใต้: 56% ของชาวเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในหมู่ผู้นับถือศาสนาในเกาหลีใต้ 63% เป็นคริสเตียน และ 34% เป็นชาวพุทธ
เปอร์เซ็นต์ในประเทศจีน: จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แบบปิดซึ่งห้ามไม่ให้มีคริสเตียนเชื่อพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนประมาณการว่าประมาณ 2% ของประชากรเป็นคริสเตียน แหล่งข่าวภายนอกท้าทายตัวเลขเหล่านี้ และแนะนำว่า 5% หรือมากกว่านั้นอาจแม่นยำกว่าเมื่อพิจารณาถึงคริสตจักรบ้านที่ผิดกฎหมาย  
เปอร์เซ็นต์ในญี่ปุ่น: 1.5% อย่างไรก็ตาม ศาสนาคริสต์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและถูกมองในแง่ดีจากคนญี่ปุ่นทั่วไป โดยชาวญี่ปุ่นมากกว่า 60% เลือกที่จะจัดงานแต่งงานแบบคริสเตียนในโบสถ์
เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย: 1% มีเปอร์เซ็นต์ต่ำสุดในเอเชีย (ใน wikipedia มีเพจหนึ่งที่ชื่อ "organized crime in thailand" ที่อธิบายสาเหตุที่ประเทศไทยมีอาชญากรรมเยอะ บทความนี้บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ ผมก็จะไม่พูดอย่างนั้นเพราะกลัวกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมของประเทศนี้ แต่ผมจะเสนอว่า หลายอย่างของประเทศไทยพร้อมสำหรับการเจริญเติบโต แต่ทำไมถึงไม่ยอมโตสักที สำหรับผมพูดง่ายๆก็คือ มีความเชื่อที่ผิดเยอะ กระทำที่ชั่วก็จะตามมา ถ้าประเทศไทยเป็นคริสเตียนก็คงเจริญเร็ว หรือไม่ก็ต้องเจอน้ำมันเยอะๆเหมือนประเทศแขก ;)
เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเขาในประเทศไทย: ประมาณว่ากว่าครึ่งของชาวเขาในประเทศไทยตอนนี้เป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นเพราะคำทำนายที่สำเร็จตามประเพณีของพวกเขาเอง เช่น ชาวต่างชาตินำหนังสือที่หายไปกลับมา ซึ่งมิชชันนารีอธิบายว่าต้องเป็นพระคัมภีร์ และความเชื่อในผู้สร้าง ท่ามกลางประเด็นทั่วไปอื่นๆ ในพระคัมภีร์

ศาสนาคริสต์ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
 เปอร์เซ็นต์ในออสเตรเลีย: 52%
 เปอร์เซ็นต์ในนิวซีแลนด์: 49%
 เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวอะบอริจิน (ชาวออสเตรเลีย) 55%
 เปอร์เซ็นต์ในหมู่ชาวเมารี (ชาวพื้นเมือง Nz) ประมาณว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นคริสเตียน ส่วนใหญ่เป็นชาวเมารีเฉพาะของศาสนาคริสต์ซึ่งรักษาประเพณีของชาวเมารี แต่ยอมรับหลักคำสอนคริสเตียน (ตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศไทย)

ศาสนาคริสต์ในอเมริกาเหนือ
เปอร์เซ็นต์โดยรวม 77%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดา 67%
เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกัน 65%
เปอร์เซ็นต์ของชนพื้นเมืองอเมริกัน (สหรัฐอเมริกา) 66%
เปอร์เซ็นต์ของชาวแอฟริกันอเมริกัน 85%
เปอร์เซ็นต์ในเม็กซิโก (รวมเปอร์เซ็นต์โปรเตสแตนต์และอัตราการเติบโต) คริสเตียน 88% คาทอลิก 82% โปรเตสแตนต์ 6.6

ศาสนาคริสต์ในอเมริกาใต้
เปอร์เซ็นต์โดยรวม (คาทอลิกและโปรเตสแตนต์) 83%, 59% เป็นคาทอลิกและ 20% เป็นโปรเตสแตนต์ (ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคข้อมูลของเราเนื่องจากความจริงมีความสำคัญมากกว่าประเพณี)
- อัตราการเติบโตของโปรเตสแตนต์: เป็นเวลากว่า 200 ปีที่ชาวคาทอลิกมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของอเมริกาใต้ จนถึงปี 1960 เมื่อโปรเตสแตนต์เริ่มเติบโตอย่างมากจากเพียง 5% เป็น 20% ที่เราเห็นในปัจจุบัน  เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ประท้วงมีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองของอเมริกาใต้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา

สถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ทั่วโลก
- 25% ของชาวมุสลิมที่เข้าเป็นคริสเตียน มองเห็นความฝันหรือนิมิตพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์
- 65% ของผู้ชนะรางวัลโนเบลในศตวรรษที่ผ่านมาเป็นคริสเตียน (ที่น่าแปลกใจเพราะว่าคณะกรรมการมีแนวคิดแบบสายจัดต่อต้านคริสเตียนมากขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา)
- พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือที่มีการแปลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มักเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ในภาษาต่างๆ ที่เป็นภาษาปากตามประเพณี (รวมถึงภาษาชาวเขาของไทยและภาษาถิ่นอื่นๆ เช่น ภาษาถิ่นใต้  ซึ่งปกติจะไม่เขียนออกมาแต่พูดด้วยวาจาเท่านั้น)
- คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ภาษาไทยโดยใช้แท่นพิมพ์  ต้นฉบับอยู่ในพิพิธภัณฑสถานอังกฤษ น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่ยอมรับความสำคัญของพระคัมภีร์

ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่เป็นคริสเตียน 
พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้าและทรงเป็นจอกของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรักษาส่วนมรดกของข้าพระองค์ไว้  เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี  ข้าพเจ้าถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานคำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า เออ ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว  เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้า จึงยินดีและจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์ ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย   -สดุดี 16:5-9 
เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงยกย่องพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์   -สดุดี 18:49
ข้าพระองค์จะบอกเล่าพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน   -สดุดี 22:22
พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์   -สดุดี 26:7
เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข   -สดุดี 34:8
แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ   -สดุดี 35:28
พระองค์ได้ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนมากมายจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระยาห์เวห์   -สดุดี 40:3
ข้าพระองค์ได้ประกาศข่าวดีเรื่องการช่วยกู้ ในชุมนุมชนใหญ่ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงทราบแล้ว ข้าพระองค์มิได้ยับยั้งริมฝีปากของข้าพระองค์ไว้เลย  ข้าพระองค์มิได้เก็บงำการชอบธรรมของพระองค์ไว้แต่ในใจ ข้าพระองค์ได้พูดถึงความซื่อสัตย์และความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ไว้จากชุมนุมชนใหญ่   -สดุดี 40:9-10 
บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง   -สดุดี 66:16
ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์ คือพระราชกิจที่ช่วยให้รอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนพระราชกิจนั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์  ข้าพระองค์จะนำเรื่องกิจการอันทรงอานุภาพของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้วย ข้าพระองค์จะสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียว  ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆ มา และข้าพระองค์จะประกาศถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์  แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา   -สดุดี 71:15-18
และลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์วันยังค่ำ เพราะผู้ที่หาทางทำอันตรายข้าพระองค์ จะอับอายและอดสู   -สดุดี 71:24
จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์  ให้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงไถ่ไว้แล้วกล่าวดังนั้นเถิด คือผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมือของคู่อริ   -สดุดี 107:1-2
ข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระโอวาทของพระองค์เฉพาะพระพักตร์บรรดาพระราชา และจะไม่อับอาย   -สดุดี 119:46
คนรุ่นหนึ่งจะยกย่องพระราชกิจของพระองค์ ให้คนอีกรุ่นหนึ่งฟัง และจะประกาศกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์  ข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงความยิ่งใหญ่ในศักดิ์ศรีอันสูงส่งของพระองค์ และตรึกตรองถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์  มนุษย์จะกล่าวถึงอานุภาพแห่งกิจการอันน่าเกรงขามของพระองค์ และข้าพระองค์จะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์  เขาทั้งหลายจะเล่าขานถึงคุณความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงด้วยความยินดีถึงความชอบธรรมของพระองค์   -สดุดี 145:4-7 
เขาทั้งหลายจะกล่าวถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์   -สดุดี 145:11
และในวันนั้น พวกท่านจะกล่าวว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์ จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย จงให้พวกเขารำลึกว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู  “จงร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำกิจอันดีเลิศ จงให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก  ชาวศิโยนเอ๋ย จงโห่ร้องและเปล่งเสียงด้วยความยินดี เพราะว่าองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลนั้นทรงยิ่งใหญ่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน”   -อิสยาห์ 12:4-6
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกไว้ เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ก่อนหน้าเราไม่มีเทพเจ้าใดถูกปั้นขึ้น และภายหลังเราก็จะไม่มี   -อิสยาห์ 43:10
พระยาห์เวห์ทรงนำความยุติธรรมออกมาให้เรา มาเถิด ให้เราประกาศพระราชกิจ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราในศิโยน   -เยเรมีย์ 51:10
และบรรดาคนฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงท้องฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์   -ดาเนียล 12:3 
ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์   -มัทธิว 5:16
และจะมอบพวกท่านให้เจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเรา เพื่อว่าพวกท่านจะได้เป็นพยานแก่พวกเขาและแก่พวกต่างชาติ   -มัทธิว 10:18
“เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์   -มัทธิว 10:32
ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง   -มัทธิว 24:14
แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของท่านที่บ้าน แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร และเล่าถึงพระเมตตาที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ท่าน” -มาระโก 5:19 
“จงกลับไปที่บ้านของท่านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อท่าน” เขาก็ไปและประกาศให้คนทั้งเมืองทราบถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงทำต่อเขา   -ลูกา 8:39
“และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า   -ลูกา 12:8-9
ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์   -ยอห์น 4:28-30
ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยิวว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคือพระเยซู   -ยอห์น 5:15
ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง   -ยอห์น 5:31
และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านอยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว   -ยอห์น 15:27
เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน”   -กิจการ 4:20
พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อไปถึงแล้วท่านทั้งสองจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว ยิวในเมืองนี้มีใจยอมรับมากกว่ายิวในเมืองเธสะโลนิกา เพราะพวกเขารับพระวจนะด้วยความอยากรู้และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจริงดังที่กล่าวหรือไม่   -กิจการ 17:10-11
พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึก ของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง  เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน และข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก  คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า   -1 โครินธ์ 2:1-5 
และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย   -2 โครินธ์ 4:13
จงต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ให้มั่น คือชีวิตที่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านไปรับ ในตอนที่ท่านกล่าวคำยอมรับอันดีต่อหน้าพยานหลายคน   -1 ทิโมธี 6:12 
เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นอาจารย์  เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อับอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้า จนถึงวันพิพากษา ได้   -2 ทิโมธี 1:8-12
เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างชั่วร้ายและอิจฉาริษยา ถูกชิงชังและเกลียดกัน แต่เมื่อความดีเลิศและความรักของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรามาปรากฏ พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพื่อว่าเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว ก็จะได้เป็นผู้รับมรดกตามที่หวังไว้คือชีวิตนิรันดร์   -ทิตัส 3:3-7 
ดังที่พระองค์ตรัสว่า  “เราจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของเรา  เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน”   -ฮีบรู 2:12
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยาน มากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา   -ฮีบรู 12:1
แต่ในใจของพวกท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน   -1 เปโตร 3:15 
เพราะว่าเราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์   -2 เปโตร 1:16 
เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา) สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา จะได้เต็มเปี่ยม   -1 ยอห์น 1:1-4
นี่แหละคือผู้ที่ได้มาด้วยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยาน เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง   -1 ยอห์น 5:6 
และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์   -1 ยอห์น 5:11 
เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น   -วิวรณ์ 6:9
พวกเขาชนะมารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย   -วิวรณ์ 12:11
และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและยึดถือคำพยานของพระเยซู   -วิวรณ์ 12:17 
แล้วข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านเพื่อจะนมัสการท่าน แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพี่น้องของท่านที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้าเถิด” เพราะว่าคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการเผยพระวจนะ   -วิวรณ์ 19:10 
ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นได้รับมอบอำนาจในการพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกตัดศีรษะเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา เขาทั้งหลายกลับมีชีวิตขึ้นอีกและครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี   -วิวรณ์ 20:4 

Location

Who are we? 

My name is Kaison, my wife is Kritti (known as Fang), we are missionaries in Nakhon Si Thammarat, in southern Thailand. We are dedicated to planting a church that plants churches, and to producing biblical tracts that can be used to lead church, and also as evangelistic resources. We believe that most problems in the church are overcomplicated and are not often corrected with the scriptures like they should be. Our hope is that through presentation of scriptures organized by topic, we can help increase biblical literacy and also make preaching and evangelism a bit easier to tackle for beginners. If you would like us to do a tract, shoot us a message, and we will make a note and get around to it when we can. All tracts can be distributed freely

Contact Us

    Subscribe Today!

Submit
  • Home
  • หนังสือเล่มเล็กสอนพระคัมภีร์ตามหัวข้
    • พระกิตติคุณ (The Gospel)
    • พระเจ้ามีจริง (God is Real)
    • พระเจ้าเป็นความรัก (God is love)
    • พระเจ้าทรงแสนดี (God is good)
    • พระตรีเอกานุภาพ (The Trinity)
    • พระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง (Prosperity gospel)
    • การบังเกิดใหม่ด้วยการตัดสินใจ (Decisional regeneration)
    • นรกนิรันดร์ (Eternal Hell)
    • การอธิษฐาน (Prayer)
    • ความอดทนถึงความสำเร็จของผู้เชื่อ (Perseverance of the saints)
    • การต่อต้านพยานพระยะโฮวา (JW rejected)
    • 40 คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (40 messianic propho
    • การเปรียบเทียบศาสนาอิสลาม (Islam compared)
    • ศาสนาพุทธจากมุมมองพระคัมภีร์ (Buddhism compared)
    • การไหว้รูปเคารพ (Idolatry)
    • ความกลัว (Fear)
    • การผูกมัดเจตจำนง (The bondage of the will by Martin Luther)
    • พระบัญญัติ 10 ประการ
    • วันคริสต์มาส (Christmas)
    • ชีวิตแต่งงาน (marriage)
    • การตีสอนลูก (Child discipline)
    • มารซาตาน (Satan and evil spirits))
    • ตะกละ (Gluttony)
    • ส.ล.ด.พ.อ. (T.U.L.I.P.)
    • Government (ผู้ปกครองเมือง)
    • 40 อุปมาของพระเยซู (40 parables)
    • การต่อสู้ (fighting)
    • ความโกรธ (anger)
    • พระบัญชา (The Great Commission)
    • ธุรกิจและการทำงาน (Business and work)
  • แผ่นท่องจำบทพระคัมภีร์ที่แนะนำ
  • บรรณาธิการ & ภารกิจ (Editor & Mission)
  • Blog
  • ติดต่อ (contact)