เลือกดาวน์โหลด... ซ้ายมือสำหรับทำรูปแบบหนังสือ ขวามือสำหรับรูปแบบมือถือหรือแผ่นใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ
Choose a download... left for booklet, right for digital or other use.
ภาษาไทย
การต่อต้านคำสอนของพยานพระยะโฮวาห์
Rejecting the Cult of the Jahovah Witnesses
Rejecting the Cult of the Jahovah Witnesses
พยานพระยะโฮวา เป็นลัทธิที่ถูกตั้งขึ้นในปี 1870 และได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก, เอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือเรียก พระเจ้าว่า พระยะโฮวา เท่านั้น (ซึ่งในความเป็นจริงเป็นการเข้าใจผิดของนักแปลพระคัมภีร์สมัยก่อน คือในภาษาฮีบรูเขาไม่อยากจะเขียนชื่อของพระยาห์เวห์ เพื่อเป็นการยำเกรงพระนามของพระองค์ เขาก็เลยเอาพยัญชนะของคำว่า พระยาเวห์ และคำว่า พระองค์ (เอโลฮิม:) และรวมกันเป็นคำเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงเขาจะไม่ออกเสียงตามที่มันเขียนเวลาเขาอ่านในธรรมศาลา) และเขาจะมีการเรียกคริสตจักรว่าเป็นโบสถ์ หรือ คริสตจักร แต่เรียกว่า "หอสังเกตการณ์". นอกจากนี้ก็มีการได้ออกประกาศบ้านต่อบ้าน
คำสอนของกลุ่มนี้ผิดพลาดเพราะว่าพวกเขาได้สอนว่า พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา และเขาได้ปฏิเสธว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเขาได้สอนว่าความรอดจะได้ด้วยความเชื่อและการกระทำซึ่งเป็นคำสอนที่ใกล้เคียงกับคาทอลิก ในปัจจุบันนี้ โปรเตสแตนต์ได้สอนตามพระคัมภีร์ว่ารอดด้วยความเชื่อเท่านั้น และผลของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ก็คือจะมีการกระทำตามไปด้วย แต่การกระทำไม่ใช่เงื่อนไขของความรอด
เหมือนลัทธิอื่นๆ เช่น อิสลาม, มอรมอนและเซเว่นเดย์, จะมีสัญญาณบางอย่างที่ช่วยให้เราเห็นว่าเป็นลัทธิ:
มีบางอย่างที่เป็นอำนาจเหนือพระคัมภีร์
(ในเหตุการณ์นี้ มีพระคัมภีร์ฉบับ new world version ที่ถูกแปลผิด)
การยึดถือกฎ
(ในเหตุการณ์นี้เป็นคำสอนว่า ได้รับความรอดด้วยความเชื่อและการกระทำด้วย),
ผู้เผยพระวจนะประกาศตนเอง (ในเหตุการณ์นี้คือ charles taze russell),
ความลึกลับ (ในการนี้เขาก็จะไม่ค่อยยินดีที่จะเล่าประวัติศาสตร์ของนิกายนี้ เพราะว่ามีคำเผยพระวจนะที่ไม่สำเร็จเกิดขึ้นมาเยอะแล้ว),
เข้าใจผิดว่าพระคริสต์เป็นใคร (ในเหตุการณ์นี้เขาสอนว่าพระคริสต์เป็นเพียงแค่มนุษย์และไม่ได้เป็นพระเจ้า),
มีโทษสำหรับคนที่ออกจากกลุ่ม (ในเหตุการณ์นี้ ส่วนมากถูกปฏิเสธจากครอบครัว)
ในที่นี่จะแบ่งปันคำยืนยันของพยานพระยะโฮวาบางอย่างที่ผิดพลาดและช่วยแก้ไขโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: หลังจากช่วงอัครทูต คริสตจักรล่มสลายเข้าสู่ความผิดพลาด และพยานพระยะโฮวา ต้องช่วยให้กลับมาเป็นคำสอนที่ถูกต้อง (นิกายอื่น ๆ ก็เป็น "บาบิโลนมหานคร")
(ผ่านทางศตวรรษต่างๆของคริสตจักร ก็มีความเชื่อแตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่อย่างไรก็ตามคริสเตียนก็ไม่ได้รอดด้วยการกระทำแต่รอดด้วยความเชื่อในพระคริสต์ เพราะฉะนั้นแม้แต่การปฏิบัติอาจจะผิดบ้าง เขารอดเพราะได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์)
เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด -โรม 10:13
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า -ยอห์น 1:12-13
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: วิญญาณของมนุษย์จะไม่อยู่นิรันดร์
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” -ลูกา 23:43
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเจ้าจะไม่ลงโทษมนุษย์ในไฟนรกนิรันดร์
และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายและความขายหน้านิรันดร์ -ดาเนียล 12:2
คนเหล่านั้นจะได้รับโทษ อันเป็นความพินาศนิรันดร์และพรากจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจากพระสิริแห่งพระกำลังของพระองค์ -2 เธสะโลนิกา 1:9
แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘พวกท่านผู้ถูกแช่งสาปจงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและบริวารของมัน -มัทธิว 25:41
แล้วข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวและเห็นพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น แผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ก็หายไปจากพระพักตร์ของพระองค์ และไม่มีใครพบเห็นที่อยู่ของพวกมันอีกเลย ข้าพเจ้ายังเห็นบรรดาคนตาย ทั้งคนใหญ่โตและคนเล็กน้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น แล้วหนังสือต่างๆ ก็ถูกเปิดออก และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ถูกเปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต คนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของเขาทั้งหลายที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น ทะเลก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนคนตายก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในนั้น แต่ละคนก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน แล้วความตายและแดนคนตายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละคือความตายครั้งที่สอง และถ้าพบว่าใครไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต เขาก็จะถูกโยนลงไปในบึงไฟ -วิวรณ์ 20:11-15
อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้ -มัทธิว 10:28
และคนเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่บรรดาคนชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ” -มัทธิว 25:46
ถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีทั้งสองมือแต่ต้องลงไปสู่นรกในไฟที่ไม่มีวันดับ ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย การที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก ซึ่งเป็นที่ตัวหนอนไม่เคยตายและไฟไม่เคยดับเลย -มาระโก 9:43-48
ส่วนมารที่ล่อลวงเขาทั้งหลายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จอยู่นั้น และพวกมันจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ และถ้าพบว่าใครไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต เขาก็จะถูกโยนลงไปในบึงไฟ -วิวรณ์ 20:10, 15
แต่พวกที่ขี้ขลาด พวกที่ไม่เชื่อ พวกที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน พวกฆาตกร พวกล่วงประเวณี พวกใช้เวทมนตร์ พวกบูชารูปเคารพ และทุกคนที่โกหกนั้น มรดกของพวกเขาอยู่ในบึงที่ไฟและกำมะถันกำลังลุกไหม้อยู่ ซึ่งเป็นความตายครั้งที่สอง” -วิวรณ์ 21:8
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: มนุษย์มีเจตจำนงเสรีภาพ พระเจ้าจะช่วยเฉพาะคนที่ต้องการที่จะรับใช้ด้วยเนื้อหนังของเขาเอง
(เราไม่มีเจตจำนงเสรีภาพ)
ใจของมนุษย์กับแผนงานทางของเขา แต่พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าของเขา -สุภาษิต 16:9
แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ -กาลาเทีย 5:16-17
พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าคนใดให้มั่นคง ก็คนนั้นแหละที่พระองค์พอพระทัยทางของเขา แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้ -สดุดี 37:23-24
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความมานะของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า เพราะมีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า “เพราะเหตุนี้เองเราจึงได้ตั้งเจ้าขึ้น เพื่อเราจะสำแดงฤทธานุภาพของเราให้ปรากฏทางตัวเจ้า และเพื่อให้นามของเราประกาศไปทั่วโลก” เพราะฉะนั้นพระองค์จะทรงพระเมตตาใคร ก็จะทรงพระเมตตาคนนั้น และพระองค์จะทรงให้ใครมีใจแข็งกระด้าง ก็จะทรงให้คนนั้นมีใจแข็งกระด้าง แล้วท่านก็จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมพระองค์ยังทรงติเตียน? ใครจะขัดขืนพระประสงค์ของพระองค์ได้?” มนุษย์เอ๋ย ท่านเป็นใครที่จะโต้ตอบกับพระเจ้า? สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า “ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้?” -โรม 9:16-20
คนคูชเปลี่ยนสีผิวของตนเอง หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมันได้หรือ? ถ้าได้แล้วพวกเจ้าผู้ที่เคยชินต่อการทำความชั่ว จึงจะมาทำความดีได้ -เยเรมีย์ 13:23
พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงทำการอัศจรรย์ทั้งสิ้นซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์กระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป -อพยพ 4:21
ช่างเถิด เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด [ของคนตาบอด] ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” -มัทธิว 15:14
แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ -1 โครินธ์ 2:14
เมื่อก่อนเราทุกคนเคยประพฤติเหมือนพวกเขาตามตัณหาของเนื้อหนัง คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและของความคิด โดยวิสัยแล้วเราจึงเป็นคนที่สมควรได้รับการลงโทษเหมือนอย่างคนอื่นๆ -เอเฟซัส 2:3
เพราะว่าการเอาใจใส่เนื้อหนังนั้นคือการเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า และที่จริงไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และคนที่อยู่ในเนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็ไม่ได้ -โรม 8:7-8
ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย -โรม 7:18
ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียวไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า -โรม 3:10-11
(เราไม่ได้รอดด้วยเจตจำนงเสรีภาพ)
แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย -มัทธิว 18:3
แก้ไขความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพราะพระเจ้าอาจโปรดให้พวกเขากลับใจ และมาถึงความรู้ในความจริง และหลุดพ้นจากบ่วงของมาร ผู้ซึ่งดักจับพวกเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน -2 ทิโมธี 2:25-26
ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา -ยอห์น 3:27
ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น’ ” -ยอห์น 6:44, 65
แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า -ยอห์น 1:12-13
เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ -เอเฟซัส 2:8-9
พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน แม้คนอธรรมก็เพื่อวันลำเค็ญ -สุภาษิต 16:4
ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ -เอเฟซัส 1:4-5
เมื่อพวกสาวกได้ยินก็อัศจรรย์ใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” -มัทธิว 19:25-26
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระคริสต์ได้กลับมาในปี 1874 เป็นวิญญาณ
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: การกลับมาของพระเยซูคริสต์เป็นครั้งที่ 2 เป็นเหตุการณ์ ซึ่งมองไม่เห็น ที่เกิดขึ้นในปี 1914 (คำเผยพระวจนะที่เทียมเท็จ)
และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวกับพวกท่านว่า “จงปรึกษากับคนทรงหรือพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ้อกแจ้กและเสียงพึมพำ” ไม่ควรหรือที่ประชาชนจะปรึกษาพระเจ้าของเขา? ควรหรือที่เขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็น? ไปดูธรรมบัญญัติและถ้อยคำพยาน แน่ทีเดียวคนที่ไม่พูดเช่นข้าพเจ้า ก็จะเป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเลย -อิสยาห์ 8:19-20
เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส ผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย -เฉลยธรรมบัญญัติ 18:22
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก พวกท่านก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าโดยข้อนี้ คือวิญญาณทุกดวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก พวกเขาเป็นฝ่ายโลก เพราะเหตุนี้เขาจึงพูดตามโลกและโลกก็เชื่อฟังเขา ส่วนเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนั้นเราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ -1 ยอห์น 4:1-6
แต่ว่าได้มีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเกิดขึ้นในชนชาตินั้น เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนเท็จเกิดขึ้นในพวกท่าน ซึ่งจะลอบเอาลัทธินอกรีตอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายผู้ได้ทรงไถ่พวกเขาไว้ ซึ่งจะนำความพินาศมาสู่พวกเขาเองอย่างรวดเร็ว จะมีคนจำนวนมากประพฤติลามกตามอย่างพวกเขา และเพราะคนเหล่านั้น ทางของความจริงจะถูกลบหลู่ และพวกสอนเท็จจะหาผลประโยชน์จากท่านทั้งหลายด้วยนิยายที่แต่งขึ้นโดยใจโลภ การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ประกาศไว้นานมาแล้วจะไม่เนิ่นช้า และความพินาศที่จะเกิดกับพวกเขาก็จะไม่นิ่งเฉย -2 เปโตร 2:1-3
เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้ -มัทธิว 24:24
เพราะว่าคนพวกนั้นเป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง พวกที่ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ การทำเช่นนั้นไม่ประหลาดเลย เพราะว่าซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่าง เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผู้ปรนนิบัติของซาตาน จะปลอมตัวเป็นผู้ปรนนิบัติของความชอบธรรม บั้นปลายของพวกเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา -2 โครินธ์ 11:13-15
เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน --2 ทิโมธี 4:3
จะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานสักเท่าใด? พวกผู้เผยพระวจนะคิดได้อย่างนี้หรือ? คือผู้เผยพระวจนะเท็จตามการหลอกลวงในใจของตน -เยเรมีย์ 23:26
“สิ่งน่าหวาดหวั่นและน่ากลัว ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ คือผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะเท็จ และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามอำนาจของตน และประชากรของเราก็ชอบแบบนี้ แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง?” เยเรมีย์ 5:30-31
และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเผยพระวจนะเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ใช้พวกเขา และเราไม่ได้บัญชาเขาหรือพูดกับเขา เขาเผยนิมิตเท็จแก่พวกเจ้าเป็นการทำนายที่ไร้ค่า เป็นการล่อลวงของจิตใจเขาเอง ฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับพวกผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะในนามของเราแม้ว่าเราไม่ได้ใช้พวกเขาและผู้กล่าวว่า ‘ดาบและการกันดารอาหารจะไม่มาถึงแผ่นดินนี้’ พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นจะถูกผลาญเสียด้วยดาบและการกันดารอาหาร และประชาชนผู้ซึ่งเขาเผยพระวจนะให้ฟังนั้น จะถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเหยื่อของการกันดารอาหารและดาบ จะไม่มีใครฝังเขา คือทั้งตัวเขา ภรรยาของเขา บุตรชายและบุตรหญิงของเขา เพราะเราจะเทความชั่วร้ายของเขาสนองตอบเขา -เยเรมีย์ 14:14-16
ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว และบัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งพวกท่านได้รับไว้แล้ว ให้ผู้นั้นถูกแช่งสาป -กาลาเทีย 1:6-9
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระคริสต์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นผู้ที่แยกจาก พระตรีเอกานุภา
เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” -ยอห์น 10:30
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” -ยอห์น 8:58
ในขณะที่เรากำลังรอคอยความหวังอันน่ายินดี และการมาปรากฏของพระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่คือ พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา -ทิตัส 2:13
ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” -อิสยาห์ 9:6
โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” -ยอห์น 20:28
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ -มัทธิว 28:19
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว -ยอห์น 1:18
เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระองค์ -โคโลสี 1:19
เพราะว่าความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์ -โคโลสี 2:9
พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า “เราเป็นอัลฟา และโอเมกา ” -วิวรณ์ 1:8
นานมาแล้วพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง และหลายวิธีผ่านทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ตรัสกับเราทางพระบุตร ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทรับสิ่งทั้งปวง พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลทางพระบุตร พระบุตรทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชำระบาปทั้งหลายแล้ว ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่า พวกทูตสวรรค์มากนัก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงได้รับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของพวกทูตสวรรค์ เพราะว่ามีใครบ้างในพวกทูตสวรรค์ที่พระเจ้า เคยตรัสกับเขาว่า “เจ้าเองเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า” และยังตรัสอีกว่า “เราเองจะเป็นบิดาของเขา และเขาเองจะเป็นบุตรของเรา” และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีนั้นเข้ามาในโลก ก็ตรัสว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบนมัสการพระบุตร” ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้น พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ทรงสร้างพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เป็นดุจลม และทรงสร้างบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวเพลิง” แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นพระคทาเที่ยงธรรม พระองค์ทรงรักความชอบธรรม และทรงเกลียดความอธรรม เพราะเหตุนี้พระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าของพระองค์ ทรงเจิมพระองค์ไว้ ด้วยน้ำมันแห่งความยินดี เหนือบรรดาพระสหายของพระองค์” และ “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์เองทรงดำรงอยู่ ทุกสิ่งจะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนผ้าคลุม และสิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยน เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พระองค์เองยังทรงเหมือนเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด” แต่กับทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์เคยตรัสว่า “จงนั่งที่เบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน” ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นเพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ? -ฮีบรู 1
พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง -ยอห์น 1:14
“นี่แน่ะ หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา ) -มัทธิว 1:23
เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ -ยอห์น 9:38
จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” -ลูกา 24:39
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: มีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์ เป็นพระเยซู (การแยกแยะระหว่างทูตสวรรค์กับพระเยซูคริสต์)
“ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้ครอบครองยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะได้รับการช่วยกู้ คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ -ดาเนียล 12:1
คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน -1 เธสะโลนิกา 4:16
บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน -มัทธิว 13:41
แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น -มัทธิว 24:31
แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด” -วิวรณ์ 22:9
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตายบนไม้กางเขน แต่ตายบนแท่งไม้
โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน เพื่อ ความยินดีที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า -ฮีบรู 12:2
พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน -ฟีลิปปี 2:8
เพราะว่าคนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่เราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า -1 โครินธ์ 1:18
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายเป็นวิญญาณอย่างเดียวไม่ใช่ในทางร่างกาย (พระเยซูสามารถกินอาหารและได้โชว์มือและเท้า)
พระเยซูเสด็จออกจากบริเวณพระวิหาร ระหว่างเสด็จไป บรรดาสาวกของพระองค์มาชี้อาคารทั้งหลายในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่า “สิ่งทั้งหมดนี้พวกท่านเห็นแล้วไม่ใช่หรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด” ระหว่างที่พระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ สาวกทั้งหลายมาเฝ้าเป็นส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอโปรดให้พวกข้าพระองค์ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงพวกท่าน เพราะว่าจะมีหลายคนมาโดยอ้างนามของเราและกล่าวว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และพวกเขาจะล่อลวงคนเป็นจำนวนมาก ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง เพราะว่า ประชาชาติกับประชาชาติ และอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก “เวลานั้นพวกเขาจะมอบตัวท่านให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าท่านทั้งหลายเสีย และประชาชาติทั้งหมดจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา ในเวลานั้นคนจำนวนมากจะถดถอยไปและจะทรยศกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังกันและกันด้วย ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนจะเกิดขึ้น และล่อลวงคนจำนวนมาก ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป แต่ใครสู้ทนถึงที่สุดก็จะได้รับการช่วยให้รอด ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง “เพราะฉะนั้นเมื่อท่านเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ ตามพระวจนะที่กล่าวโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้พวกที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปที่ภูเขา คนที่อยู่บนดาดฟ้า อย่าลงมาเก็บข้าวของออกจากบ้านของตน ส่วนคนที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของตน วิบัติแก่บรรดาผู้หญิงที่มีครรภ์ และมีลูกอ่อนกินนมอยู่ในเวลานั้น จงอธิษฐานขอให้วันที่ท่านหนีนั้นจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต เพราะว่าในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย ถ้าไม่ได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่พวกที่ทรงเลือก จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้ นี่แน่ะ เราบอกพวกท่านไว้ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกท่านว่า ‘ดูซิ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ อย่าออกไป หรือบอกว่า ‘ดูซิ อยู่ที่ห้องชั้นใน’ ก็อย่าเชื่อ เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น “แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์ และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น “จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อใดที่กิ่งของมันเริ่มแตกหน่ออ่อนและออกใบ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว เราบอกความจริงกับท่านว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว เพราะว่าสมัยของโนอาห์ เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสกันและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคน โดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เวลานั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะถูกรับไปคนหนึ่ง และถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ด้วยกัน จะถูกรับไปคนหนึ่ง ถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านจะเสด็จมาเวลาไหน จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะเฝ้าระวังอยู่ ไม่ให้บ้านถูกงัดเข้าไปได้ เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา “ใครเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่นายตั้งไว้เหนือบ่าวอื่นๆ เพื่อแจกอาหารตามเวลา เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็เป็นสุข เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของท่าน แต่ถ้าบ่าวชั่วนั้นคิดในใจของเขาว่า ‘นายของข้ามาช้า’ และเริ่มต้นโบยตีเพื่อนบ่าวและกินดื่มอยู่กับพวกขี้เมา นายของบ่าวคนนั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิด ในชั่วโมงที่ไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนัก และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน -มัทธิว 24:1-51 (มีคนจับเท้าแล้วก็นมัสการพระเยซู)
นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ -มัทธิว 28:9
ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัย บาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ” โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” ยอห์น 20:19-27
พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” พวกยิวจึงทูลว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ?” แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ -ยอห์น 2:19-21
และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป แต่จะมีคนถามว่า “คนตายถูกทำให้เป็นขึ้นมาอย่างไร? และพวกเขาจะมาด้วยร่างกายแบบไหน?” โอ คนเขลา สิ่งที่ท่านหว่านนั้น ถ้าไม่ตายก่อนก็จะไม่งอกขึ้นใหม่ สิ่งที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆ ก็ดี ท่านไม่ได้หว่านรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมานั้น แต่หว่านเมล็ดเปล่าๆ พระเจ้าประทานรูปร่างแก่เมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และประทานรูปร่างของมันเองแก่เมล็ดแต่ละชนิด เนื้อนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง เนื้อสัตว์ก็อย่างหนึ่ง เนื้อนกก็อย่างหนึ่ง เนื้อปลาก็อย่างหนึ่ง ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่ารัศมีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และรัศมีของร่างกายสำหรับโลกก็อีกอย่างหนึ่ง รัศมีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง รัศมีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง รัศมีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง ที่จริงรัศมีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับรัศมีของดาวดวงอื่นๆ การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เหมือนกัน ร่างกายที่ถูกหว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ร่างกายที่เป็นขึ้นมานั้นไม่เสื่อมสลาย สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีศักดิ์ศรี สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีพลัง สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นเป็นกายเนื้อหนัง สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นเป็นกายจิตวิญญาณ ถ้ามีกายเนื้อหนัง กายจิตวิญญาณก็มีด้วย ดังที่เขียนไว้ว่า “มนุษย์ คนแรกคืออาดัม จึงเป็นผู้มีชีวิต” แต่อาดัมสุดท้ายนั้นเป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต ร่างกายแรกนั้นไม่ใช่เป็นกายจิตวิญญาณ แต่เป็นกายเนื้อหนัง ร่างกายต่อจากนั้นจึงเป็นกายจิตวิญญาณ มนุษย์คนแรกนั้นมาจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองนั้นมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น และเช่นเดียวกับที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน เราก็จะมีลักษณะของมนุษย์สวรรค์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว -1 โครินธ์ 15:4, 20, 35-54
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: ความรอดจะถูกประทานให้ในอามาเกดอน, แต่ขึ้นอยู่กับ การบัพติศมา, ความเข้าใจในพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง (หลังจากได้อ่านไบเบิลนี้คงเข้าใจว่าไม่มี jw สักคนนึงที่จะรอด ตามเงื่อนไขของเขา) , การใช้ชีวิตแบบมีคุณธรรม, การใช้พระนาม พระยะโฮวาเท่านั้น, และเป็นสมาชิกของพยานพระยะโฮวา (ข้อพระคัมภีร์ต่างๆที่บอกว่าความรอดเป็นสิ่งที่เป็นของคนที่พระเจ้าได้เลือกก่อนทุกอย่าง, ไม่ใช่หลังจากทุกอย่างผ่านไป)
สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆ ในพระเยซู ที่พระองค์ทรงรัก ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิด โดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า ซึ่งประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญา และความเข้าใจทุกอย่าง พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์ และในพระคริสต์ นั้น เราก็ได้รับการทรงเลือกด้วย คือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์ เพื่อเราผู้มีความหวังในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะอยู่เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์ ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้ พระวิญญาณนั้นเป็นมัดจำในการรับมรดกของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ เพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติของพระองค์ -เอเฟซัส 1:3-14
เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม -เอเฟซัส 2:8-10
พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิม เพื่อจะได้รับความรอด โดยการชำระของพระวิญญาณให้บริสุทธิ์ และโดยการเชื่อความจริง -2 เธสะโลนิกา 2:13
ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา --2 ทิโมธี 1:9
ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน -ยอห์น 15:16
เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น พระองค์ก็ทรงให้มีศักดิ์ศรีด้วย -โรม 8:29-30
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: จะมี 2 กลุ่มที่พระเจ้าจะช่วยให้รอด, จะมีกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มพิเศษที่มีจำนวนคน 144,000 คน ซึ่งจะอาศัยอยู่นิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์, และจะมีลูกแกะอื่นๆที่จะอยู่บนแผ่นดินโลกเป็นนิรันดร์
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: จำเป็นต้องเรียกพระเจ้าว่าพระยะโฮวา และต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า ‘ทำไมจึงทำอย่างนี้?’ จงเล่าให้เขาฟังว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ คือจากแดนทาสด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ -อพยพ 13:14
คำถาม: อะไรคือพระนามของพระเจ้าที่แตกต่างกัน และหมายความว่าอะไร? (from: gotquestions.org/thai/thai-names-God)
คำตอบ: คำตอบพระนามมากมายของพระเจ้าแต่ละอย่างอธิบายแง่มุมต่างๆ กันของพระลักษณะหลายแง่มุมของพระองค์ นี่คือพระนามที่รู้จักกันดีของพระเจ้าบางคำในพระคัมภีร์:
เอล เอโลฮา: พระเจ้า " ทรงฤทธิ์ เข้มแข็ง โดดเด่น"
ปฐมกาล 7:1 "แล้วพระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า "เจ้าจงเข้าไปในนาวาหมดทั้งครัวเรือน ของเจ้า เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม"
อิสยาห์ 9:6 "ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช":
ทางด้านนิรุกติศาสตร์ คำว่าเอลปรากฏว่าหมายถึง "อำนาจ" อย่างใน "ฉันมีอำนาจที่จะทำร้ายคุณ": ปฐมกาล 31:29 "เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว เราจะทำอันตรายแก่เจ้าก็ได้ แต่คืนวานนี้พระเจ้าของบิดาเจ้าตรัสว่า 'ระวังอย่าพูดดี หรือร้ายกับยาโคบเลย'"
เอล เกี่ยวพันกับคุณลักษณะอื่น ๆ เช่นความซื่อตรง : กันดารวิถี 23:19 "พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตาม หรือที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ"
ความอิจฉา: พระราชบัญญัติ 5:9 "และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน"
ความเห็นอกเห็นใจหรือสงสาร: เนหะมีย์ 9:31 "ถึงกระนั้นด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงกระทำให้เขาพินาศหรือละทิ้งเขาเสีย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาและพระกรุณา"
แต่รากของความหมายของพลังอำนาจยังคงอยู่
เอโลฮิม: พระเจ้า "พระผู้สร้าง ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ทรงเข้มแข็ง"
ปฐมกาล 17:7 "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าที่สืบมาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของ เขาให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา"
เยเรมีย์ 31:33 "แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา"
รูปพหูพจน์ของ เอโลฮา ซึ่งรองรับหลักการเรื่องตรีเอกานุภาพ จากประโยคแรกในพระคัมภีร์ พระลักษณะสูงสุดของอำนาจของพระเจ้าปรากฏว่าทรงเป็นพระเจ้า (เอโลฮิม) ทรงตรัสให้โลกกำเนิดขึ้นได้
ปฐมกาล 1:1 "ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน"
เอล ชัดได: "พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์" " พระผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ"
ปฐมกาล 49:24 "แต่ธนูของเขาเองยืนหยัดต่อสู้ ลำแขนของเขามีกำลังขึ้น โดยพระหัตถ์ของพระผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ (โดยพระนามของผู้เลี้ยงแกะคือศิลาแห่งอิสราเอล)"
เพลงสดุดี 132:2,5 "ว่าท่านได้ปฏิญาณต่อพระเจ้าอย่างไร และได้บนตัวไว้ต่อองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบว่า จนกว่าข้าพระองค์จะหาสถานที่สำหรับพระเจ้าได้ คือที่ประทับขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบ"
พูดถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือทุกอย่าง
อโดนาย: พระเจ้า
ปฐมกาล 15:2 "อับรามทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และเอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์"
ผู้วินิจฉัย 6:15 "กิเดโอนจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัวของ ข้าพระองค์"
ใช้แทนคำว่า ยฮวฮ ซึ่งชาวยิวคิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่คนบาปจะเปล่งคำพูดออกได้ ในพันธสัญญาเดิม ยฮวฮ มักจะถูกนำมาใช้บ่อยขึ้นเวลาที่พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับประชากรของพระองค์ ในขณะที่อโดนาย ถูกนำมาใช้มากขึ้นเมื่อทรงเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติ
ยฮวฮ /ยาเวห์/ เยโฮวาห์ / "พระเจ้า"
พระราชบัญญัติ 6:4 "โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว"
ดาเนียล 9:14 "เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงเก็บความวิบัติไว้พร้อมและได้ทรง นำมาเหนือเราทั้งหลาย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเป็น ผู้ชอบธรรมในสรรพกิจ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ และข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์"
พูดอย่างเคร่งครัด พระนามเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับพระเจ้า "พระเจ้า" (อักษรใหญ่ทุกตัว) เป็นคำแปลในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ แตกต่างจากคำว่า อโดนาย "พระเจ้า" ทรงเปิดเผยพระนามครั้งแรกกับโมเสส
อพยพ 3:14 "พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย' " พระนามนี้ระบุว่าเป็นการทรงสถิตของพระองค์ทันทีทันใด พระยาเวห์ทรงเป็นอยู่ สามารถเข้าถึงได้ อยู่ใกล้กับผู้ที่เรียกร้องขอพระองค์ให้ทรงปลดปล่อย ให้อภัยและให้คำแนะนำ
เพลงสดุดี 107:13 "แล้วในความยากลำบากของเขา เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงให้เขารอดจากความทุกข์ใจของเขา"
เพลงสดุดี 25:11 "ข้าแต่พระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขอทรงให้อภัยกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะกรรมนั้นใหญ่โตนัก"
เพลงสดุดี 31:3 "พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นพระศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ ขอทรงพาและนำข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามของ พระองค์"
ยาเวห์ ยิเรห์: "พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้"
ปฐมกาล 22:14 "อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า "จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์"
อับราฮัมระลึกถึงพระนามนี้ เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมลูกแกะเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแทนที่อิสอัค
ยาเวห์ ราฟา: "พระเจ้าผู้ทรงรักษา"
อพยพ 15:26 "ในร่างกายโดยการรักษาจากโรคและการรักษาและในจิตวิญญาณโดย pardoning ความชั่วช้า"
ยาเวห์ นิสสี: "พระเจ้าผู้ทรงเป็นธงชัยของเรา"
อพยพ 17:15 "โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่าเยโฮวาห์ นิสสี"
ที่ซึ่งมีธงชัยอยู่นั้นเข้าใจว่า เป็นสถานที่ชุมนุมพล พระนามนี้ทำให้รำลึกถึงชัยชนะในทะเลทรายชนะพวกอามาเลขในอพยพบทที่ 17
ยาเวห์ เมคเคอห์เดช: "พระเจ้าผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ ทำให้บริสุทธิ์"
เลวีนิติ 20:8 "จงรักษากฎเกณฑ์ของเราและกระทำตาม เราคือพระเจ้าผู้ตั้งเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์"
เอเสเคียล 37:28 "แล้วประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า กระทำให้อิสราเอลเป็นสุทธิพิเศษชาติ ในเมื่อสถานนมัสการของเราอยู่ท่ามกลางเขาเป็นนิตย์"
พระเจ้าทรงตรัสชัดเจนว่าพระองค์ผู้เดียว ไม่ใช่ธรรมบัญญัติ ที่สามารถชำระประชากรของพระองค์ให้สะอาด และทำให้พวกเขาบริสุทธิ์
ยาเวห์ ชาโลม: "พระเจ้าองค์สันติภาพของเรา"
ผู้วินิจฉัย 6:24 "ฝ่ายกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระเจ้าที่นั่น และเรียกตำบลนั้นว่า พระเจ้าคือสวัสดิภาพ ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร"
กิเดโอนได้ขนานพระนามนี้ที่แท่นบูชาที่เขาสร้างขึ้น หลังจากที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าทรงทำให้เขาแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ตายอย่างที่เขาคิดหลังจากเขาได้เห็นพระองค์
ยาเวห์ เอโลฮิม: "องค์พระผู้เป็นเจ้า"
ปฐมกาล 2:4 "เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์"
เพลงสดุดี 59:5 "ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรง เป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ที่ทรยศคิดร้ายแม้สักคนเดียว"
การรวมพระนามที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า ยฮวฮ และพระนามสามัญว่า "พระเจ้า" แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพระทั้งหลาย
ยาเวห์ ซิเคนู: "พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา"
เยเรมีย์ 33:16 "ในกาลครั้งนั้น ยูดาห์จะได้รับการช่วยให้รอด และเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่เป็นพระนามซึ่งเขาจะเรียกเมืองนั้นคือ 'พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา'"
เช่นเดียวกับ ยฮวฮ-เมคเคอห์เดช พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงประทานความชอบธรรมแก่มนุษย์ พระผู้สูงสุดที่ทรงสภาพพระบุตร คือพระเยซูคริสต์
2โครินธ์ 5:21 "เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์"
ยาเวห์ โรฮิ: " พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยง"
เพลงสดุดี 23:1 "พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน"
หลังจากที่ดาวิดไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ของเขาซึ่งเป็นคนเลี้ยงฝูงแกะนั้น เขาตระหนักว่าแท้จริงเป็นความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อเขา ดังนั้นเขาจึงประกาศว่า "ยาเวห์-โรฮิ ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของฉัน ฉันจะไม่ต้องการสิ่งใด "
ยาเวห์ ชัมมาห์: "พระเจ้าทรงสถิตที่นั่น"
เอเสเคียล 48:35 "วัดรอบนครนั้นได้หนึ่งหมื่นแปดพันศอก ตั้งแต่นี้ไปนครนี้มีชื่อว่า พระเจ้าสถิตที่นั่น"
พระนามบรรยายถึงกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารที่นั่น แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่ง –พระสิริของพระเจ้าที่ขาดหายไปได้คืนกลับมา (เอเสเคียล 8-11)
เอเสเคียล 44:1-4 "แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูนอกของสถาน นมัสการซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และประตูนั้นปิดอยู่ พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ประตูนี้จะปิดอยู่เรื่อยไป อย่าให้เปิดและไม่ให้ใครเข้าไปทางนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้เสด็จเข้าไปทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้ปิดไว้ เฉพาะเจ้านายเท่านั้นที่จะประทับเสวยพระกระยาหาร ต่อพระพักตร์พระเจ้าในประตูนี้ได้ ท่านจะต้องเข้ามาทางมุขของหอประตูและต้องออกไปตามทางเดียวกัน"
ยาเวห์ ซาโบท: "พระเจ้าจอมโยธา" – กองทัพ หมายถึง "กลุ่มคน" ทั้งทูตสวรรค์และผู้ชาย พระองค์ พระเจ้าจอมโยธาแห่งสวรรค์และคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินโลก ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ ของคนรวยและคนจน นายและทาส พระนามแสดงออกถึงพระสิริ พลังและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และแสดงให้เห็นว่าทรงสามารถกระทำสำเร็จในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำ
อิสยาห์ 1:24 "ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้าจอมโยธา ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอลตรัสว่า ‘ดูเถิด เราจะระบายความโกรธของเราเหนือศัตรูของเรา และแก้แค้นข้าศึกของเราเสียเอง’"
เพลงสดุดี 46:7 "พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา"
เอล เอลโยน: "องค์สูงสุด" - มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู "ขึ้นไป" หรือ "ไต่ขึ้น" ดังนั้นการบอกความหมายโดยนัย ซึ่งเป็นที่สูงสุด เอล เอลโยน หมายถึงการยกย่องสรรเสริญและพูดถึงสิทธิอันสูงสุดที่ทรงเป็นพระเจ้า
พระราชบัญญัติ 26:19 "และว่าพระองค์จะทรงตั้งท่านให้สูงเหนือบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้าง ในเรื่องสรรเสริญ ชื่อเสียงและเกียรติยศ และว่าท่านจะเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน ดังที่พระองค์ตรัสแล้ว"
เอล รอย: "พระเจ้าผู้ทรงให้เห็น"
ปฐมกาล 16:13 "นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า ‘พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ให้เห็น’ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่ แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ’"
นางฮาการ์ได้บรรยายพระนามของพระเจ้า นางอยู่ลำพังคนเดียวและหมดหวังในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ถูกนางซาร่าห์ขับไล่ออกมา
ปฐมกาล 16:1-14 "ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงคนใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า "ดูเถิด พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ฉันมีบุตร ขอจงเข้าไปหาคนใช้ของฉันเถิด บางทีฉันจะได้บุตรโดยนางนั้น" อับรามก็ฟังเสียงนางซาราย เมื่ออับรามอยู่ในแคว้นคานาอันได้สิบปีแล้ว นางซารายภรรยาก็ยกฮาการ์คนอียิปต์หญิงคนใช้ ของตนให้เป็นภรรยาของอับรามสามีของนาง อับรามเข้าไปหานางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่าตั้งครรภ์แล้วก็ดูหมิ่นนายผู้หญิง นางซารายจึงบ่นต่ออับรามว่า "ให้ความทุกข์ของฉันตกอยู่กับท่านเถิด ฉันให้หญิงคนใช้ไว้ในอ้อมอกของท่าน แต่เมื่อหญิงนั้นรู้ว่าตัวตั้งครรภ์แล้ว ก็ดูหมิ่นฉัน ขอพระเจ้าทรงตัดสินเรื่องของฉันกับท่านเถิด" อับรามพูดกับนางซารายว่า "ดูเถิด หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงกระทำแก่เขาตามที่เจ้าเห็นควรเถิด" นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า ทูตพระเจ้าพบหญิงนั้นที่น้ำพุในถิ่นทุรกันดาร ข้างทางที่จะไปเมืองชูร์ จึงถามว่า "ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน" นางทูลตอบว่า "ข้าพระองค์หนีมาให้พ้นหน้านางซาราย นายของข้าพระองค์’ ทูตของพระเจ้าจึงสั่งว่า ‘กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด’ ทูตพระเจ้ากล่าวแก่หญิงนั้นว่า ‘เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน’ ทูตพระเจ้ากล่าวแก่นางอีกว่า "นี่แน่ะเจ้ามีครรภ์แล้ว จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อิชมาเอล เพราะพระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า บุตรนั้นจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเขา’ นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า ‘พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ให้เห็น’ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่ แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ’ เหตุฉะนี้จึงเรียกชื่อบ่อน้ำนั้นว่าเบเออลาไฮรอยอยู่ระหว่างเมืองคาเดช กับเมืองเบเรด"
เมื่อนางฮาการ์ได้พบกับราชทูตของพระเจ้า เธอระลึกว่าเธอได้เคยเห็นพระเจ้าในยามทุกข์สาหัส นอกจากนี้ เธอยังตระหนักว่า เอล รอย ทรงเห็นเธอจมอยู่ในความทุกข์ และเธอว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเห็นทั้งหมด
เอล โอลัม: "พระเจ้านิรันดร์"
เพลงสดุดี 90:1-3 "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่อาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นผงคลี และตรัสว่า ‘ลูกหลานของมนุษย์เอ๋ย จงกลับเถิด’"
พระลักษณะของพระเจ้าไม่ที่ที่เริ่มต้นหรือสิ้นสุด เป็นอิสระจากข้อจำกัดของเวลา และในพระองค์เป็นเหตุให้เกิดเวลาขึ้นเอง "พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล"
เอล กิบบอ: "พระเจ้าทรงฤทธานุภาพ"
อิสยาห์ 9:6 "ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"
พระนามอธิบายพระเมสสิยาห์ พระเยซูคริสต์ ในคำทำนายตอนนี้ของอิสยาห์ ในฐานะที่ทรงเป็นนักรบที่มีฤทธานุภาพและเกรียงไกร พระเมสสิยาห์ พระเจ้าทรงอำนาจจะประสบความสำเร็จในการทำลายล้างศัตรูของพระเจ้า และตีให้แตกด้วยกระบองเหล็ก
วิวรณ์ 19:15 "มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติ ด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด"'
สรุป
พยานพระยะโฮวาห์เป็นลัทธิที่น่ากลัวเพราะว่าเกือบทุกอย่างที่สอน ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยแต่หลักข้อเชื่อของคริสตจักรเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาปฏิเสธคริสตจักรทุกนิกายนอกจากกลุ่มของเขาเอง
พี่น้องทั้งหลายควรจะหาคริสตจักรที่ยืนยันหลักข้อเชื่อของคริสตจักรต่างๆ และมีความมั่นใจในพระคัมภีร์ และมีความตั้งใจที่จะเชื่อฟังทุกอย่างที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้ากลุ่มไหนปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้า เขาก็ปฏิเสธพระเจ้าเช่นเดียวกัน
คำสอนของกลุ่มนี้ผิดพลาดเพราะว่าพวกเขาได้สอนว่า พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา และเขาได้ปฏิเสธว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเขาได้สอนว่าความรอดจะได้ด้วยความเชื่อและการกระทำซึ่งเป็นคำสอนที่ใกล้เคียงกับคาทอลิก ในปัจจุบันนี้ โปรเตสแตนต์ได้สอนตามพระคัมภีร์ว่ารอดด้วยความเชื่อเท่านั้น และผลของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ก็คือจะมีการกระทำตามไปด้วย แต่การกระทำไม่ใช่เงื่อนไขของความรอด
เหมือนลัทธิอื่นๆ เช่น อิสลาม, มอรมอนและเซเว่นเดย์, จะมีสัญญาณบางอย่างที่ช่วยให้เราเห็นว่าเป็นลัทธิ:
มีบางอย่างที่เป็นอำนาจเหนือพระคัมภีร์
(ในเหตุการณ์นี้ มีพระคัมภีร์ฉบับ new world version ที่ถูกแปลผิด)
การยึดถือกฎ
(ในเหตุการณ์นี้เป็นคำสอนว่า ได้รับความรอดด้วยความเชื่อและการกระทำด้วย),
ผู้เผยพระวจนะประกาศตนเอง (ในเหตุการณ์นี้คือ charles taze russell),
ความลึกลับ (ในการนี้เขาก็จะไม่ค่อยยินดีที่จะเล่าประวัติศาสตร์ของนิกายนี้ เพราะว่ามีคำเผยพระวจนะที่ไม่สำเร็จเกิดขึ้นมาเยอะแล้ว),
เข้าใจผิดว่าพระคริสต์เป็นใคร (ในเหตุการณ์นี้เขาสอนว่าพระคริสต์เป็นเพียงแค่มนุษย์และไม่ได้เป็นพระเจ้า),
มีโทษสำหรับคนที่ออกจากกลุ่ม (ในเหตุการณ์นี้ ส่วนมากถูกปฏิเสธจากครอบครัว)
ในที่นี่จะแบ่งปันคำยืนยันของพยานพระยะโฮวาบางอย่างที่ผิดพลาดและช่วยแก้ไขโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: หลังจากช่วงอัครทูต คริสตจักรล่มสลายเข้าสู่ความผิดพลาด และพยานพระยะโฮวา ต้องช่วยให้กลับมาเป็นคำสอนที่ถูกต้อง (นิกายอื่น ๆ ก็เป็น "บาบิโลนมหานคร")
(ผ่านทางศตวรรษต่างๆของคริสตจักร ก็มีความเชื่อแตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่อย่างไรก็ตามคริสเตียนก็ไม่ได้รอดด้วยการกระทำแต่รอดด้วยความเชื่อในพระคริสต์ เพราะฉะนั้นแม้แต่การปฏิบัติอาจจะผิดบ้าง เขารอดเพราะได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์)
เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด -โรม 10:13
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า -ยอห์น 1:12-13
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: วิญญาณของมนุษย์จะไม่อยู่นิรันดร์
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ -ยอห์น 3:16
พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” -ลูกา 23:43
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเจ้าจะไม่ลงโทษมนุษย์ในไฟนรกนิรันดร์
และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายและความขายหน้านิรันดร์ -ดาเนียล 12:2
คนเหล่านั้นจะได้รับโทษ อันเป็นความพินาศนิรันดร์และพรากจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจากพระสิริแห่งพระกำลังของพระองค์ -2 เธสะโลนิกา 1:9
แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘พวกท่านผู้ถูกแช่งสาปจงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและบริวารของมัน -มัทธิว 25:41
แล้วข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวและเห็นพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น แผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ก็หายไปจากพระพักตร์ของพระองค์ และไม่มีใครพบเห็นที่อยู่ของพวกมันอีกเลย ข้าพเจ้ายังเห็นบรรดาคนตาย ทั้งคนใหญ่โตและคนเล็กน้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น แล้วหนังสือต่างๆ ก็ถูกเปิดออก และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ถูกเปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต คนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของเขาทั้งหลายที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น ทะเลก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนคนตายก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในนั้น แต่ละคนก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน แล้วความตายและแดนคนตายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละคือความตายครั้งที่สอง และถ้าพบว่าใครไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต เขาก็จะถูกโยนลงไปในบึงไฟ -วิวรณ์ 20:11-15
อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้ -มัทธิว 10:28
และคนเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่บรรดาคนชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ” -มัทธิว 25:46
ถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีทั้งสองมือแต่ต้องลงไปสู่นรกในไฟที่ไม่มีวันดับ ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย การที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก ซึ่งเป็นที่ตัวหนอนไม่เคยตายและไฟไม่เคยดับเลย -มาระโก 9:43-48
ส่วนมารที่ล่อลวงเขาทั้งหลายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จอยู่นั้น และพวกมันจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ และถ้าพบว่าใครไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต เขาก็จะถูกโยนลงไปในบึงไฟ -วิวรณ์ 20:10, 15
แต่พวกที่ขี้ขลาด พวกที่ไม่เชื่อ พวกที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน พวกฆาตกร พวกล่วงประเวณี พวกใช้เวทมนตร์ พวกบูชารูปเคารพ และทุกคนที่โกหกนั้น มรดกของพวกเขาอยู่ในบึงที่ไฟและกำมะถันกำลังลุกไหม้อยู่ ซึ่งเป็นความตายครั้งที่สอง” -วิวรณ์ 21:8
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: มนุษย์มีเจตจำนงเสรีภาพ พระเจ้าจะช่วยเฉพาะคนที่ต้องการที่จะรับใช้ด้วยเนื้อหนังของเขาเอง
(เราไม่มีเจตจำนงเสรีภาพ)
ใจของมนุษย์กับแผนงานทางของเขา แต่พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าของเขา -สุภาษิต 16:9
แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ -กาลาเทีย 5:16-17
พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าคนใดให้มั่นคง ก็คนนั้นแหละที่พระองค์พอพระทัยทางของเขา แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้ -สดุดี 37:23-24
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความมานะของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า เพราะมีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า “เพราะเหตุนี้เองเราจึงได้ตั้งเจ้าขึ้น เพื่อเราจะสำแดงฤทธานุภาพของเราให้ปรากฏทางตัวเจ้า และเพื่อให้นามของเราประกาศไปทั่วโลก” เพราะฉะนั้นพระองค์จะทรงพระเมตตาใคร ก็จะทรงพระเมตตาคนนั้น และพระองค์จะทรงให้ใครมีใจแข็งกระด้าง ก็จะทรงให้คนนั้นมีใจแข็งกระด้าง แล้วท่านก็จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมพระองค์ยังทรงติเตียน? ใครจะขัดขืนพระประสงค์ของพระองค์ได้?” มนุษย์เอ๋ย ท่านเป็นใครที่จะโต้ตอบกับพระเจ้า? สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า “ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้?” -โรม 9:16-20
คนคูชเปลี่ยนสีผิวของตนเอง หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมันได้หรือ? ถ้าได้แล้วพวกเจ้าผู้ที่เคยชินต่อการทำความชั่ว จึงจะมาทำความดีได้ -เยเรมีย์ 13:23
พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงทำการอัศจรรย์ทั้งสิ้นซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์กระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป -อพยพ 4:21
ช่างเถิด เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด [ของคนตาบอด] ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” -มัทธิว 15:14
แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ -1 โครินธ์ 2:14
เมื่อก่อนเราทุกคนเคยประพฤติเหมือนพวกเขาตามตัณหาของเนื้อหนัง คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและของความคิด โดยวิสัยแล้วเราจึงเป็นคนที่สมควรได้รับการลงโทษเหมือนอย่างคนอื่นๆ -เอเฟซัส 2:3
เพราะว่าการเอาใจใส่เนื้อหนังนั้นคือการเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า และที่จริงไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และคนที่อยู่ในเนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็ไม่ได้ -โรม 8:7-8
ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย -โรม 7:18
ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียวไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า -โรม 3:10-11
(เราไม่ได้รอดด้วยเจตจำนงเสรีภาพ)
แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย -มัทธิว 18:3
แก้ไขความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพราะพระเจ้าอาจโปรดให้พวกเขากลับใจ และมาถึงความรู้ในความจริง และหลุดพ้นจากบ่วงของมาร ผู้ซึ่งดักจับพวกเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน -2 ทิโมธี 2:25-26
ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา -ยอห์น 3:27
ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น’ ” -ยอห์น 6:44, 65
แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า -ยอห์น 1:12-13
เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ -เอเฟซัส 2:8-9
พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน แม้คนอธรรมก็เพื่อวันลำเค็ญ -สุภาษิต 16:4
ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ -เอเฟซัส 1:4-5
เมื่อพวกสาวกได้ยินก็อัศจรรย์ใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” -มัทธิว 19:25-26
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระคริสต์ได้กลับมาในปี 1874 เป็นวิญญาณ
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: การกลับมาของพระเยซูคริสต์เป็นครั้งที่ 2 เป็นเหตุการณ์ ซึ่งมองไม่เห็น ที่เกิดขึ้นในปี 1914 (คำเผยพระวจนะที่เทียมเท็จ)
และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวกับพวกท่านว่า “จงปรึกษากับคนทรงหรือพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ้อกแจ้กและเสียงพึมพำ” ไม่ควรหรือที่ประชาชนจะปรึกษาพระเจ้าของเขา? ควรหรือที่เขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็น? ไปดูธรรมบัญญัติและถ้อยคำพยาน แน่ทีเดียวคนที่ไม่พูดเช่นข้าพเจ้า ก็จะเป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเลย -อิสยาห์ 8:19-20
เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส ผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย -เฉลยธรรมบัญญัติ 18:22
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก พวกท่านก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าโดยข้อนี้ คือวิญญาณทุกดวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก พวกเขาเป็นฝ่ายโลก เพราะเหตุนี้เขาจึงพูดตามโลกและโลกก็เชื่อฟังเขา ส่วนเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนั้นเราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ -1 ยอห์น 4:1-6
แต่ว่าได้มีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเกิดขึ้นในชนชาตินั้น เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนเท็จเกิดขึ้นในพวกท่าน ซึ่งจะลอบเอาลัทธินอกรีตอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายผู้ได้ทรงไถ่พวกเขาไว้ ซึ่งจะนำความพินาศมาสู่พวกเขาเองอย่างรวดเร็ว จะมีคนจำนวนมากประพฤติลามกตามอย่างพวกเขา และเพราะคนเหล่านั้น ทางของความจริงจะถูกลบหลู่ และพวกสอนเท็จจะหาผลประโยชน์จากท่านทั้งหลายด้วยนิยายที่แต่งขึ้นโดยใจโลภ การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ประกาศไว้นานมาแล้วจะไม่เนิ่นช้า และความพินาศที่จะเกิดกับพวกเขาก็จะไม่นิ่งเฉย -2 เปโตร 2:1-3
เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้ -มัทธิว 24:24
เพราะว่าคนพวกนั้นเป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง พวกที่ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ การทำเช่นนั้นไม่ประหลาดเลย เพราะว่าซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่าง เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผู้ปรนนิบัติของซาตาน จะปลอมตัวเป็นผู้ปรนนิบัติของความชอบธรรม บั้นปลายของพวกเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา -2 โครินธ์ 11:13-15
เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน --2 ทิโมธี 4:3
จะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานสักเท่าใด? พวกผู้เผยพระวจนะคิดได้อย่างนี้หรือ? คือผู้เผยพระวจนะเท็จตามการหลอกลวงในใจของตน -เยเรมีย์ 23:26
“สิ่งน่าหวาดหวั่นและน่ากลัว ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ คือผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะเท็จ และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามอำนาจของตน และประชากรของเราก็ชอบแบบนี้ แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง?” เยเรมีย์ 5:30-31
และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเผยพระวจนะเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ใช้พวกเขา และเราไม่ได้บัญชาเขาหรือพูดกับเขา เขาเผยนิมิตเท็จแก่พวกเจ้าเป็นการทำนายที่ไร้ค่า เป็นการล่อลวงของจิตใจเขาเอง ฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับพวกผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะในนามของเราแม้ว่าเราไม่ได้ใช้พวกเขาและผู้กล่าวว่า ‘ดาบและการกันดารอาหารจะไม่มาถึงแผ่นดินนี้’ พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นจะถูกผลาญเสียด้วยดาบและการกันดารอาหาร และประชาชนผู้ซึ่งเขาเผยพระวจนะให้ฟังนั้น จะถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเหยื่อของการกันดารอาหารและดาบ จะไม่มีใครฝังเขา คือทั้งตัวเขา ภรรยาของเขา บุตรชายและบุตรหญิงของเขา เพราะเราจะเทความชั่วร้ายของเขาสนองตอบเขา -เยเรมีย์ 14:14-16
ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว และบัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งพวกท่านได้รับไว้แล้ว ให้ผู้นั้นถูกแช่งสาป -กาลาเทีย 1:6-9
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระคริสต์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นผู้ที่แยกจาก พระตรีเอกานุภา
เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” -ยอห์น 10:30
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” -ยอห์น 8:58
ในขณะที่เรากำลังรอคอยความหวังอันน่ายินดี และการมาปรากฏของพระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่คือ พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา -ทิตัส 2:13
ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” -อิสยาห์ 9:6
โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” -ยอห์น 20:28
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ -มัทธิว 28:19
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว -ยอห์น 1:18
เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระองค์ -โคโลสี 1:19
เพราะว่าความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์ -โคโลสี 2:9
พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า “เราเป็นอัลฟา และโอเมกา ” -วิวรณ์ 1:8
นานมาแล้วพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง และหลายวิธีผ่านทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ตรัสกับเราทางพระบุตร ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทรับสิ่งทั้งปวง พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลทางพระบุตร พระบุตรทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชำระบาปทั้งหลายแล้ว ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่า พวกทูตสวรรค์มากนัก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงได้รับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของพวกทูตสวรรค์ เพราะว่ามีใครบ้างในพวกทูตสวรรค์ที่พระเจ้า เคยตรัสกับเขาว่า “เจ้าเองเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า” และยังตรัสอีกว่า “เราเองจะเป็นบิดาของเขา และเขาเองจะเป็นบุตรของเรา” และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีนั้นเข้ามาในโลก ก็ตรัสว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบนมัสการพระบุตร” ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้น พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ทรงสร้างพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เป็นดุจลม และทรงสร้างบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวเพลิง” แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นพระคทาเที่ยงธรรม พระองค์ทรงรักความชอบธรรม และทรงเกลียดความอธรรม เพราะเหตุนี้พระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าของพระองค์ ทรงเจิมพระองค์ไว้ ด้วยน้ำมันแห่งความยินดี เหนือบรรดาพระสหายของพระองค์” และ “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์เองทรงดำรงอยู่ ทุกสิ่งจะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนม้วนผ้าคลุม และสิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยน เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พระองค์เองยังทรงเหมือนเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด” แต่กับทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์เคยตรัสว่า “จงนั่งที่เบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน” ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นเพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ? -ฮีบรู 1
พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง -ยอห์น 1:14
“นี่แน่ะ หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา ) -มัทธิว 1:23
เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ -ยอห์น 9:38
จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” -ลูกา 24:39
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: มีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์ เป็นพระเยซู (การแยกแยะระหว่างทูตสวรรค์กับพระเยซูคริสต์)
“ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้ครอบครองยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะได้รับการช่วยกู้ คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ -ดาเนียล 12:1
คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน -1 เธสะโลนิกา 4:16
บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน -มัทธิว 13:41
แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น -มัทธิว 24:31
แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด” -วิวรณ์ 22:9
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตายบนไม้กางเขน แต่ตายบนแท่งไม้
โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน เพื่อ ความยินดีที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า -ฮีบรู 12:2
พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน -ฟีลิปปี 2:8
เพราะว่าคนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่เราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า -1 โครินธ์ 1:18
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายเป็นวิญญาณอย่างเดียวไม่ใช่ในทางร่างกาย (พระเยซูสามารถกินอาหารและได้โชว์มือและเท้า)
พระเยซูเสด็จออกจากบริเวณพระวิหาร ระหว่างเสด็จไป บรรดาสาวกของพระองค์มาชี้อาคารทั้งหลายในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่า “สิ่งทั้งหมดนี้พวกท่านเห็นแล้วไม่ใช่หรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด” ระหว่างที่พระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ สาวกทั้งหลายมาเฝ้าเป็นส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอโปรดให้พวกข้าพระองค์ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงพวกท่าน เพราะว่าจะมีหลายคนมาโดยอ้างนามของเราและกล่าวว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และพวกเขาจะล่อลวงคนเป็นจำนวนมาก ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง เพราะว่า ประชาชาติกับประชาชาติ และอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก “เวลานั้นพวกเขาจะมอบตัวท่านให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าท่านทั้งหลายเสีย และประชาชาติทั้งหมดจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา ในเวลานั้นคนจำนวนมากจะถดถอยไปและจะทรยศกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังกันและกันด้วย ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนจะเกิดขึ้น และล่อลวงคนจำนวนมาก ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป แต่ใครสู้ทนถึงที่สุดก็จะได้รับการช่วยให้รอด ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง “เพราะฉะนั้นเมื่อท่านเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ ตามพระวจนะที่กล่าวโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้พวกที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปที่ภูเขา คนที่อยู่บนดาดฟ้า อย่าลงมาเก็บข้าวของออกจากบ้านของตน ส่วนคนที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของตน วิบัติแก่บรรดาผู้หญิงที่มีครรภ์ และมีลูกอ่อนกินนมอยู่ในเวลานั้น จงอธิษฐานขอให้วันที่ท่านหนีนั้นจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต เพราะว่าในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย ถ้าไม่ได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่พวกที่ทรงเลือก จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้ นี่แน่ะ เราบอกพวกท่านไว้ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกท่านว่า ‘ดูซิ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ อย่าออกไป หรือบอกว่า ‘ดูซิ อยู่ที่ห้องชั้นใน’ ก็อย่าเชื่อ เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น “แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์ และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น “จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อใดที่กิ่งของมันเริ่มแตกหน่ออ่อนและออกใบ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว เราบอกความจริงกับท่านว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว เพราะว่าสมัยของโนอาห์ เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสกันและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคน โดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เวลานั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะถูกรับไปคนหนึ่ง และถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ด้วยกัน จะถูกรับไปคนหนึ่ง ถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านจะเสด็จมาเวลาไหน จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะเฝ้าระวังอยู่ ไม่ให้บ้านถูกงัดเข้าไปได้ เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา “ใครเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่นายตั้งไว้เหนือบ่าวอื่นๆ เพื่อแจกอาหารตามเวลา เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็เป็นสุข เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของท่าน แต่ถ้าบ่าวชั่วนั้นคิดในใจของเขาว่า ‘นายของข้ามาช้า’ และเริ่มต้นโบยตีเพื่อนบ่าวและกินดื่มอยู่กับพวกขี้เมา นายของบ่าวคนนั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิด ในชั่วโมงที่ไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนัก และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน -มัทธิว 24:1-51 (มีคนจับเท้าแล้วก็นมัสการพระเยซู)
นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ -มัทธิว 28:9
ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัย บาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ” โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” ยอห์น 20:19-27
พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” พวกยิวจึงทูลว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ?” แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ -ยอห์น 2:19-21
และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป แต่จะมีคนถามว่า “คนตายถูกทำให้เป็นขึ้นมาอย่างไร? และพวกเขาจะมาด้วยร่างกายแบบไหน?” โอ คนเขลา สิ่งที่ท่านหว่านนั้น ถ้าไม่ตายก่อนก็จะไม่งอกขึ้นใหม่ สิ่งที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆ ก็ดี ท่านไม่ได้หว่านรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมานั้น แต่หว่านเมล็ดเปล่าๆ พระเจ้าประทานรูปร่างแก่เมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และประทานรูปร่างของมันเองแก่เมล็ดแต่ละชนิด เนื้อนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง เนื้อสัตว์ก็อย่างหนึ่ง เนื้อนกก็อย่างหนึ่ง เนื้อปลาก็อย่างหนึ่ง ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่ารัศมีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และรัศมีของร่างกายสำหรับโลกก็อีกอย่างหนึ่ง รัศมีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง รัศมีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง รัศมีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง ที่จริงรัศมีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับรัศมีของดาวดวงอื่นๆ การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เหมือนกัน ร่างกายที่ถูกหว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ร่างกายที่เป็นขึ้นมานั้นไม่เสื่อมสลาย สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีศักดิ์ศรี สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีพลัง สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นเป็นกายเนื้อหนัง สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นเป็นกายจิตวิญญาณ ถ้ามีกายเนื้อหนัง กายจิตวิญญาณก็มีด้วย ดังที่เขียนไว้ว่า “มนุษย์ คนแรกคืออาดัม จึงเป็นผู้มีชีวิต” แต่อาดัมสุดท้ายนั้นเป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต ร่างกายแรกนั้นไม่ใช่เป็นกายจิตวิญญาณ แต่เป็นกายเนื้อหนัง ร่างกายต่อจากนั้นจึงเป็นกายจิตวิญญาณ มนุษย์คนแรกนั้นมาจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองนั้นมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น และเช่นเดียวกับที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน เราก็จะมีลักษณะของมนุษย์สวรรค์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว -1 โครินธ์ 15:4, 20, 35-54
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: ความรอดจะถูกประทานให้ในอามาเกดอน, แต่ขึ้นอยู่กับ การบัพติศมา, ความเข้าใจในพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง (หลังจากได้อ่านไบเบิลนี้คงเข้าใจว่าไม่มี jw สักคนนึงที่จะรอด ตามเงื่อนไขของเขา) , การใช้ชีวิตแบบมีคุณธรรม, การใช้พระนาม พระยะโฮวาเท่านั้น, และเป็นสมาชิกของพยานพระยะโฮวา (ข้อพระคัมภีร์ต่างๆที่บอกว่าความรอดเป็นสิ่งที่เป็นของคนที่พระเจ้าได้เลือกก่อนทุกอย่าง, ไม่ใช่หลังจากทุกอย่างผ่านไป)
สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆ ในพระเยซู ที่พระองค์ทรงรัก ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการยกโทษจากการละเมิด โดยพระคุณอันอุดมของพระเจ้า ซึ่งประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยปัญญา และความเข้าใจทุกอย่าง พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์ ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์ และในพระคริสต์ นั้น เราก็ได้รับการทรงเลือกด้วย คือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์ เพื่อเราผู้มีความหวังในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะอยู่เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์ ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้ พระวิญญาณนั้นเป็นมัดจำในการรับมรดกของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ เพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติของพระองค์ -เอเฟซัส 1:3-14
เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม -เอเฟซัส 2:8-10
พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิม เพื่อจะได้รับความรอด โดยการชำระของพระวิญญาณให้บริสุทธิ์ และโดยการเชื่อความจริง -2 เธสะโลนิกา 2:13
ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา --2 ทิโมธี 1:9
ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน -ยอห์น 15:16
เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น พระองค์ก็ทรงให้มีศักดิ์ศรีด้วย -โรม 8:29-30
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: จะมี 2 กลุ่มที่พระเจ้าจะช่วยให้รอด, จะมีกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มพิเศษที่มีจำนวนคน 144,000 คน ซึ่งจะอาศัยอยู่นิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์, และจะมีลูกแกะอื่นๆที่จะอยู่บนแผ่นดินโลกเป็นนิรันดร์
คำยืนยันจากพวกพยานพระยะโฮวา: จำเป็นต้องเรียกพระเจ้าว่าพระยะโฮวา และต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า ‘ทำไมจึงทำอย่างนี้?’ จงเล่าให้เขาฟังว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ คือจากแดนทาสด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ -อพยพ 13:14
คำถาม: อะไรคือพระนามของพระเจ้าที่แตกต่างกัน และหมายความว่าอะไร? (from: gotquestions.org/thai/thai-names-God)
คำตอบ: คำตอบพระนามมากมายของพระเจ้าแต่ละอย่างอธิบายแง่มุมต่างๆ กันของพระลักษณะหลายแง่มุมของพระองค์ นี่คือพระนามที่รู้จักกันดีของพระเจ้าบางคำในพระคัมภีร์:
เอล เอโลฮา: พระเจ้า " ทรงฤทธิ์ เข้มแข็ง โดดเด่น"
ปฐมกาล 7:1 "แล้วพระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า "เจ้าจงเข้าไปในนาวาหมดทั้งครัวเรือน ของเจ้า เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม"
อิสยาห์ 9:6 "ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช":
ทางด้านนิรุกติศาสตร์ คำว่าเอลปรากฏว่าหมายถึง "อำนาจ" อย่างใน "ฉันมีอำนาจที่จะทำร้ายคุณ": ปฐมกาล 31:29 "เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว เราจะทำอันตรายแก่เจ้าก็ได้ แต่คืนวานนี้พระเจ้าของบิดาเจ้าตรัสว่า 'ระวังอย่าพูดดี หรือร้ายกับยาโคบเลย'"
เอล เกี่ยวพันกับคุณลักษณะอื่น ๆ เช่นความซื่อตรง : กันดารวิถี 23:19 "พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตาม หรือที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ"
ความอิจฉา: พระราชบัญญัติ 5:9 "และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน"
ความเห็นอกเห็นใจหรือสงสาร: เนหะมีย์ 9:31 "ถึงกระนั้นด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงกระทำให้เขาพินาศหรือละทิ้งเขาเสีย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาและพระกรุณา"
แต่รากของความหมายของพลังอำนาจยังคงอยู่
เอโลฮิม: พระเจ้า "พระผู้สร้าง ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ทรงเข้มแข็ง"
ปฐมกาล 17:7 "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าที่สืบมาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของ เขาให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา"
เยเรมีย์ 31:33 "แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา"
รูปพหูพจน์ของ เอโลฮา ซึ่งรองรับหลักการเรื่องตรีเอกานุภาพ จากประโยคแรกในพระคัมภีร์ พระลักษณะสูงสุดของอำนาจของพระเจ้าปรากฏว่าทรงเป็นพระเจ้า (เอโลฮิม) ทรงตรัสให้โลกกำเนิดขึ้นได้
ปฐมกาล 1:1 "ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน"
เอล ชัดได: "พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์" " พระผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ"
ปฐมกาล 49:24 "แต่ธนูของเขาเองยืนหยัดต่อสู้ ลำแขนของเขามีกำลังขึ้น โดยพระหัตถ์ของพระผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ (โดยพระนามของผู้เลี้ยงแกะคือศิลาแห่งอิสราเอล)"
เพลงสดุดี 132:2,5 "ว่าท่านได้ปฏิญาณต่อพระเจ้าอย่างไร และได้บนตัวไว้ต่อองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบว่า จนกว่าข้าพระองค์จะหาสถานที่สำหรับพระเจ้าได้ คือที่ประทับขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบ"
พูดถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือทุกอย่าง
อโดนาย: พระเจ้า
ปฐมกาล 15:2 "อับรามทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และเอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์"
ผู้วินิจฉัย 6:15 "กิเดโอนจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัวของ ข้าพระองค์"
ใช้แทนคำว่า ยฮวฮ ซึ่งชาวยิวคิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่คนบาปจะเปล่งคำพูดออกได้ ในพันธสัญญาเดิม ยฮวฮ มักจะถูกนำมาใช้บ่อยขึ้นเวลาที่พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับประชากรของพระองค์ ในขณะที่อโดนาย ถูกนำมาใช้มากขึ้นเมื่อทรงเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติ
ยฮวฮ /ยาเวห์/ เยโฮวาห์ / "พระเจ้า"
พระราชบัญญัติ 6:4 "โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว"
ดาเนียล 9:14 "เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงเก็บความวิบัติไว้พร้อมและได้ทรง นำมาเหนือเราทั้งหลาย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเป็น ผู้ชอบธรรมในสรรพกิจ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ และข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์"
พูดอย่างเคร่งครัด พระนามเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับพระเจ้า "พระเจ้า" (อักษรใหญ่ทุกตัว) เป็นคำแปลในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ แตกต่างจากคำว่า อโดนาย "พระเจ้า" ทรงเปิดเผยพระนามครั้งแรกกับโมเสส
อพยพ 3:14 "พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย' " พระนามนี้ระบุว่าเป็นการทรงสถิตของพระองค์ทันทีทันใด พระยาเวห์ทรงเป็นอยู่ สามารถเข้าถึงได้ อยู่ใกล้กับผู้ที่เรียกร้องขอพระองค์ให้ทรงปลดปล่อย ให้อภัยและให้คำแนะนำ
เพลงสดุดี 107:13 "แล้วในความยากลำบากของเขา เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงให้เขารอดจากความทุกข์ใจของเขา"
เพลงสดุดี 25:11 "ข้าแต่พระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขอทรงให้อภัยกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะกรรมนั้นใหญ่โตนัก"
เพลงสดุดี 31:3 "พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นพระศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ ขอทรงพาและนำข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามของ พระองค์"
ยาเวห์ ยิเรห์: "พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้"
ปฐมกาล 22:14 "อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า "จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์"
อับราฮัมระลึกถึงพระนามนี้ เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมลูกแกะเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแทนที่อิสอัค
ยาเวห์ ราฟา: "พระเจ้าผู้ทรงรักษา"
อพยพ 15:26 "ในร่างกายโดยการรักษาจากโรคและการรักษาและในจิตวิญญาณโดย pardoning ความชั่วช้า"
ยาเวห์ นิสสี: "พระเจ้าผู้ทรงเป็นธงชัยของเรา"
อพยพ 17:15 "โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่าเยโฮวาห์ นิสสี"
ที่ซึ่งมีธงชัยอยู่นั้นเข้าใจว่า เป็นสถานที่ชุมนุมพล พระนามนี้ทำให้รำลึกถึงชัยชนะในทะเลทรายชนะพวกอามาเลขในอพยพบทที่ 17
ยาเวห์ เมคเคอห์เดช: "พระเจ้าผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ ทำให้บริสุทธิ์"
เลวีนิติ 20:8 "จงรักษากฎเกณฑ์ของเราและกระทำตาม เราคือพระเจ้าผู้ตั้งเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์"
เอเสเคียล 37:28 "แล้วประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า กระทำให้อิสราเอลเป็นสุทธิพิเศษชาติ ในเมื่อสถานนมัสการของเราอยู่ท่ามกลางเขาเป็นนิตย์"
พระเจ้าทรงตรัสชัดเจนว่าพระองค์ผู้เดียว ไม่ใช่ธรรมบัญญัติ ที่สามารถชำระประชากรของพระองค์ให้สะอาด และทำให้พวกเขาบริสุทธิ์
ยาเวห์ ชาโลม: "พระเจ้าองค์สันติภาพของเรา"
ผู้วินิจฉัย 6:24 "ฝ่ายกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระเจ้าที่นั่น และเรียกตำบลนั้นว่า พระเจ้าคือสวัสดิภาพ ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร"
กิเดโอนได้ขนานพระนามนี้ที่แท่นบูชาที่เขาสร้างขึ้น หลังจากที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าทรงทำให้เขาแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ตายอย่างที่เขาคิดหลังจากเขาได้เห็นพระองค์
ยาเวห์ เอโลฮิม: "องค์พระผู้เป็นเจ้า"
ปฐมกาล 2:4 "เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์"
เพลงสดุดี 59:5 "ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรง เป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ที่ทรยศคิดร้ายแม้สักคนเดียว"
การรวมพระนามที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า ยฮวฮ และพระนามสามัญว่า "พระเจ้า" แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพระทั้งหลาย
ยาเวห์ ซิเคนู: "พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา"
เยเรมีย์ 33:16 "ในกาลครั้งนั้น ยูดาห์จะได้รับการช่วยให้รอด และเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่เป็นพระนามซึ่งเขาจะเรียกเมืองนั้นคือ 'พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา'"
เช่นเดียวกับ ยฮวฮ-เมคเคอห์เดช พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงประทานความชอบธรรมแก่มนุษย์ พระผู้สูงสุดที่ทรงสภาพพระบุตร คือพระเยซูคริสต์
2โครินธ์ 5:21 "เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์"
ยาเวห์ โรฮิ: " พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยง"
เพลงสดุดี 23:1 "พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน"
หลังจากที่ดาวิดไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ของเขาซึ่งเป็นคนเลี้ยงฝูงแกะนั้น เขาตระหนักว่าแท้จริงเป็นความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อเขา ดังนั้นเขาจึงประกาศว่า "ยาเวห์-โรฮิ ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของฉัน ฉันจะไม่ต้องการสิ่งใด "
ยาเวห์ ชัมมาห์: "พระเจ้าทรงสถิตที่นั่น"
เอเสเคียล 48:35 "วัดรอบนครนั้นได้หนึ่งหมื่นแปดพันศอก ตั้งแต่นี้ไปนครนี้มีชื่อว่า พระเจ้าสถิตที่นั่น"
พระนามบรรยายถึงกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารที่นั่น แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่ง –พระสิริของพระเจ้าที่ขาดหายไปได้คืนกลับมา (เอเสเคียล 8-11)
เอเสเคียล 44:1-4 "แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูนอกของสถาน นมัสการซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และประตูนั้นปิดอยู่ พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ประตูนี้จะปิดอยู่เรื่อยไป อย่าให้เปิดและไม่ให้ใครเข้าไปทางนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้เสด็จเข้าไปทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้ปิดไว้ เฉพาะเจ้านายเท่านั้นที่จะประทับเสวยพระกระยาหาร ต่อพระพักตร์พระเจ้าในประตูนี้ได้ ท่านจะต้องเข้ามาทางมุขของหอประตูและต้องออกไปตามทางเดียวกัน"
ยาเวห์ ซาโบท: "พระเจ้าจอมโยธา" – กองทัพ หมายถึง "กลุ่มคน" ทั้งทูตสวรรค์และผู้ชาย พระองค์ พระเจ้าจอมโยธาแห่งสวรรค์และคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินโลก ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ ของคนรวยและคนจน นายและทาส พระนามแสดงออกถึงพระสิริ พลังและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และแสดงให้เห็นว่าทรงสามารถกระทำสำเร็จในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำ
อิสยาห์ 1:24 "ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเจ้าจอมโยธา ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอลตรัสว่า ‘ดูเถิด เราจะระบายความโกรธของเราเหนือศัตรูของเรา และแก้แค้นข้าศึกของเราเสียเอง’"
เพลงสดุดี 46:7 "พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา"
เอล เอลโยน: "องค์สูงสุด" - มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู "ขึ้นไป" หรือ "ไต่ขึ้น" ดังนั้นการบอกความหมายโดยนัย ซึ่งเป็นที่สูงสุด เอล เอลโยน หมายถึงการยกย่องสรรเสริญและพูดถึงสิทธิอันสูงสุดที่ทรงเป็นพระเจ้า
พระราชบัญญัติ 26:19 "และว่าพระองค์จะทรงตั้งท่านให้สูงเหนือบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้าง ในเรื่องสรรเสริญ ชื่อเสียงและเกียรติยศ และว่าท่านจะเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน ดังที่พระองค์ตรัสแล้ว"
เอล รอย: "พระเจ้าผู้ทรงให้เห็น"
ปฐมกาล 16:13 "นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า ‘พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ให้เห็น’ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่ แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ’"
นางฮาการ์ได้บรรยายพระนามของพระเจ้า นางอยู่ลำพังคนเดียวและหมดหวังในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ถูกนางซาร่าห์ขับไล่ออกมา
ปฐมกาล 16:1-14 "ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงคนใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า "ดูเถิด พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ฉันมีบุตร ขอจงเข้าไปหาคนใช้ของฉันเถิด บางทีฉันจะได้บุตรโดยนางนั้น" อับรามก็ฟังเสียงนางซาราย เมื่ออับรามอยู่ในแคว้นคานาอันได้สิบปีแล้ว นางซารายภรรยาก็ยกฮาการ์คนอียิปต์หญิงคนใช้ ของตนให้เป็นภรรยาของอับรามสามีของนาง อับรามเข้าไปหานางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่าตั้งครรภ์แล้วก็ดูหมิ่นนายผู้หญิง นางซารายจึงบ่นต่ออับรามว่า "ให้ความทุกข์ของฉันตกอยู่กับท่านเถิด ฉันให้หญิงคนใช้ไว้ในอ้อมอกของท่าน แต่เมื่อหญิงนั้นรู้ว่าตัวตั้งครรภ์แล้ว ก็ดูหมิ่นฉัน ขอพระเจ้าทรงตัดสินเรื่องของฉันกับท่านเถิด" อับรามพูดกับนางซารายว่า "ดูเถิด หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงกระทำแก่เขาตามที่เจ้าเห็นควรเถิด" นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า ทูตพระเจ้าพบหญิงนั้นที่น้ำพุในถิ่นทุรกันดาร ข้างทางที่จะไปเมืองชูร์ จึงถามว่า "ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน" นางทูลตอบว่า "ข้าพระองค์หนีมาให้พ้นหน้านางซาราย นายของข้าพระองค์’ ทูตของพระเจ้าจึงสั่งว่า ‘กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด’ ทูตพระเจ้ากล่าวแก่หญิงนั้นว่า ‘เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน’ ทูตพระเจ้ากล่าวแก่นางอีกว่า "นี่แน่ะเจ้ามีครรภ์แล้ว จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อิชมาเอล เพราะพระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า บุตรนั้นจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเขา’ นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า ‘พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ให้เห็น’ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่ แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ’ เหตุฉะนี้จึงเรียกชื่อบ่อน้ำนั้นว่าเบเออลาไฮรอยอยู่ระหว่างเมืองคาเดช กับเมืองเบเรด"
เมื่อนางฮาการ์ได้พบกับราชทูตของพระเจ้า เธอระลึกว่าเธอได้เคยเห็นพระเจ้าในยามทุกข์สาหัส นอกจากนี้ เธอยังตระหนักว่า เอล รอย ทรงเห็นเธอจมอยู่ในความทุกข์ และเธอว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเห็นทั้งหมด
เอล โอลัม: "พระเจ้านิรันดร์"
เพลงสดุดี 90:1-3 "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่อาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นผงคลี และตรัสว่า ‘ลูกหลานของมนุษย์เอ๋ย จงกลับเถิด’"
พระลักษณะของพระเจ้าไม่ที่ที่เริ่มต้นหรือสิ้นสุด เป็นอิสระจากข้อจำกัดของเวลา และในพระองค์เป็นเหตุให้เกิดเวลาขึ้นเอง "พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล"
เอล กิบบอ: "พระเจ้าทรงฤทธานุภาพ"
อิสยาห์ 9:6 "ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"
พระนามอธิบายพระเมสสิยาห์ พระเยซูคริสต์ ในคำทำนายตอนนี้ของอิสยาห์ ในฐานะที่ทรงเป็นนักรบที่มีฤทธานุภาพและเกรียงไกร พระเมสสิยาห์ พระเจ้าทรงอำนาจจะประสบความสำเร็จในการทำลายล้างศัตรูของพระเจ้า และตีให้แตกด้วยกระบองเหล็ก
วิวรณ์ 19:15 "มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติ ด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด"'
สรุป
พยานพระยะโฮวาห์เป็นลัทธิที่น่ากลัวเพราะว่าเกือบทุกอย่างที่สอน ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยแต่หลักข้อเชื่อของคริสตจักรเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาปฏิเสธคริสตจักรทุกนิกายนอกจากกลุ่มของเขาเอง
พี่น้องทั้งหลายควรจะหาคริสตจักรที่ยืนยันหลักข้อเชื่อของคริสตจักรต่างๆ และมีความมั่นใจในพระคัมภีร์ และมีความตั้งใจที่จะเชื่อฟังทุกอย่างที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้ากลุ่มไหนปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้า เขาก็ปฏิเสธพระเจ้าเช่นเดียวกัน